Page 216 - kpi17968
P. 216
205
ต่อมามีความเห็นของชาวตะวันที่ตกที่เข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ
สังฆราชปาลเลกัวซ์ ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ต่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ท่านผู้นี้ดำรงตำแหน่งสังฆราชซึ่งเป็นประมุขมิสซังสยาม
และประจำอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญซึ่งอยู่เหนือวัดราชาธิวาส อันเป็นวัดที่พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงอยู่ในเพศบรรพชิตทรงจำพรรษาอยู่
นักปราชญ์ฝ่ายตะวันตก และฝ่ายตะวันออกทั้งสองท่านนี้ ได้สนทนาและแลก
เปลี่ยนความรู้กันและกันตลอดมา สังฆราชปาลเลกัวซ์เป็นชาวตะวันตกอีกท่าน
หนึ่งที่ทำการศึกษากฎหมายตราสามดวงโดยละเอียด และให้ความเห็นไว้ใน
หนังสือชื่อ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” มีความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าได้อ่านประมวลกฎหมายทั้งหมดแล้ว เห็นว่าส่วนใหญ่มี
ความเหมาะสมมาก สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติและปรับเข้าได้กับอุปนิสัย
และขนบประเพณีของประชาชาติที่สร้างกฎหมายนี้ขึ้น...พระเจ้าแผ่นดิน
ทรงมีประมวลกฎหมายไว้ในห้องพระบรรทมเสมอเพื่อรับสั่งให้มหาดเล็ก
อ่านถวายให้ฟังทุกวันๆ ละ 2-3 หน้า ตุลาการผู้ใหญ่กับเจ้าเมืองทุกคน
จะต้องมีประมวลกฎหมายไปประจำชุดหนึ่ง แต่ไม่ค่อยได้พิจารณาคดีกัน
ตามตัวบทกฎหมายเท่าใดนัก ดังจะพิเคราะห์ได้จากอุทาหรณ์ต่อไปนี้
คดีทุกคดี พึงพิจารณาพิพากษาให้สำเร็จลุล่วงไปภายในสามวัน แต่สภา
ตระลาการก็มักปล่อยคดีให้ยืดเยื้อไปตั้งสองปีหรือสามปี” 12
ตามที่สังฆราชปาลเลกัวซ์บันทึกไว้ข้างต้น เป็นที่เห็นได้ว่าปัญหาของ
บ้านเมืองเราตั้งอดีตถึงปัจจุบัน มิได้เกิดจากกฎกติกาของบ้านเมืองไม่ได้ แต่เกิด
จากผู้มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกติกาที่วางไว้
อย่างดีแล้วต่างหาก โดยเฉพาะความที่ว่า “คดีทุกคดี พึงพิจารณาพิพากษาให้
สำเร็จลุล่วงไปภายในสามวัน” นั้น ชวนสงสัยว่ามีที่มาจากหลักกฎหมายหรือไม่
ผู้เขียนจึงได้สืบค้นในพระอัยการสำคัญอีกฉบับหนึ่งในกฎหมายตราสามดวง คือ
พระอัยการลักษณะตระลาการ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการ
12 มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์, สันต์ ท. โกมลบุตร แปล, เล่าเรื่องกรุงสยาม, พิมพ์ครั้งที่ 3
(นนทบุรี : สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, 2549), น. 235-236.
การประชุมกลุมยอยที่ 2