Page 174 - kpi17968
P. 174

163




                   เรา แล้วนำมาคืนเราในรูปของการใช้จ่ายภาครัฐ คำถามคือภาครัฐที่ใช้นโยบาย

                   การคลังทำหน้าที่ในการลดความเหลื่อมล้ำหรือไม่ ทำหน้าที่ลดความเหลื่อมล้ำ
                   มากเท่าใด ซึ่งยังไม่มีงานวิจัยเรื่องนี้


                         เราต้องตั้งคำถามว่า ทำไมนโยบายภาษีของไทยที่ผ่านมาไม่เก็บเงินจาก
                   คนรวยให้มากขึ้น? นโยบายภาษีและนโยบายการคลังของไทยควรต้องพิจารณาใน
                   ด้านใด? เคยมีการรับฟังความคิดเห็นว่าด้วยเรื่องภาษีหรือไม่? การขึ้นภาษีต่างๆ

                   เคยมีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือไม่? ทั้งที่แต่ละนโยบายที่ออกมา
                   กระทบเงินหลายแสนล้านและกระทบคนทั่วทั้งประเทศ การขึ้นภาษีดำเนินการที่

                   กระทรวงการคลังแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วไปที่สภาผู้แทนราษฎร เราก็ได้
                   หวังว่าสภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ให้ประชาชน แต่ตามที่เรา
                   ทราบหลายเรื่องสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ทำหน้าที่ อีกทั้งบางนโยบายก็ไม่ต้องไป
                   สภาผู้แทนราษฎร เพียงแต่อาศัยมติคณะรัฐมนตรี หรือกฎหมายที่รองลงมา

                   ก็กระทบเงินหลายล้านๆ เช่นกัน ดังนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นโยบายการคลัง
                   ยังไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำ


                         นโยบายด้านการใช้จ่ายก็คล้ายกัน เช่นว่า รัฐบาลจะตัดถนนคนที่ได้
                   ประโยชน์คือคนที่มีรถหรือคนรวย นโยบายการศึกษาต้องพิจารณาว่ารายจ่าย

                   ต่อหัวที่รัฐอุดหนุนสูงสุดที่ระดับอุดมศึกษา คนที่จะเรียนระดับอุดมศึกษาก็ไม่ใช่
                   คนจน ดังนั้น นโยบายการคลังยังขาดกระบวนการมีส่วนร่วมที่เพียงพอ ซึ่งเราคง
                   ต้องเริ่มนำมาปรับใช้อาจดูจากกระบวนการมีส่วนร่วมทางสิ่งแวดล้อมเป็นต้นแบบ


                         ในกระบวนการมีส่วนร่วมนั้น สิ่งที่เราต้องการลำดับแรก คือ คนที่เข้ามามี
                   ส่วนร่วม ลำดับต่อมาคือ มีส่วนร่วมอย่างได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องแล้ว
                   ไม่ใช่เข้ามาแบบไม่รู้เรื่องอะไร คนที่เข้าไปมีส่วนร่วมต่อให้ห้องกว้างเพียงใดก็ไม่ได้

                   เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งหมด ดังนั้นจะพิจารณาว่าแต่ละคนต้องการอะไร ก็ไม่
                   น่าจะเป็นตัวแทนได้ ดังนั้นอาจจะต้องคัดเลือกคนที่ต้องเข้ามาแบบมีความรู้ในเรื่อง

                   ที่พูดคุยกัน และต้องไม่คิดเฉพาะเรื่องที่กระทบต่อตัวเองเท่านั้นแต่ต้องสามารถ
                   คิดเรื่องที่กระทบต่อผู้อื่นได้ด้วย เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่ NGO ลุกขึ้นมา
                   คัดค้านเสมอซึ่งเป็นการแสดงความเห็นอย่างรู้ไม่ครบ เหตุผลที่ใช้มาคัดค้าน
                   เนื่องจากภาษีนี้เป็นภาษีที่เป็นภาระต่อคนจน หากต้องซื้อน้ำ 1 แก้วจ่ายเท่ากัน





                                                                     การประชุมกลุมยอยที่ 1
   169   170   171   172   173   174   175   176   177   178   179