Page 679 - kpi17073
P. 679

678     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  ถ้าจะใช้จริง สิ่งจำเป็นก็คือ กกต. อาจจะต้องปรับตัวเยอะพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการสร้าง
                  ความน่าเชื่อถือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการนับคะแนนเพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า

                  คนที่ชนะการเลือกตั้งชนะได้อย่างไร ทางเลือกที่ 4 เป็นระบบผสมแบบเยอรมัน ไม่ใช่ระบบ
                  คู่ขนาน แยกระบบเขตกับระบบสัดส่วน แต่นำมาคิดรวมกันโดยเอาบัญชีรายชื่อเป็นตัวตั้งในการ
                  กำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


                       3) เรื่องสภาที่สอง หรือวุฒิสภา เนื่องจากเรามองว่าสภาคู่ยังจำเป็นกับประเทศไทยอยู่

                  ถ้าเช่นนั้นวุฒิสภาควรมีที่มาอย่างไร ที่ผ่านมาที่มาของสมาชิกวุฒิสภามีข้อถกเถียงกันพอสมควร
                  เราจึงเห็นว่า อย่างไรเสียสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องมีความยึดโยงกับประชาชน จะโดยตรงหรือ
                  โดยอ้อมก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าการยึดโยงกับประชาชนแปลว่าต้องเลือกตั้งเท่านั้น แต่ว่าเป็นตัวแทน

                  ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วมาคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่ขอให้มีสิ่งที่
                  เกาะเกี่ยวกับประชาชนอยู่บ้าง ประเด็นที่สอง คือ วุฒิสภาจะต้องออกแบบให้มีความหลากหลาย

                  ในองค์ประกอบ ประกอบด้วยผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และสามารถเข้าไปช่วยกลั่นกรอง
                  กฎหมาย และตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ ประเด็นที่สาม ก็คือ ยังมีความเห็นสอดคล้องกันอยู่ว่า
                  วุฒิสภาควรมีความเป็นอิสระจากพรรคการเมือง รวมไปถึงองค์กรอื่นใด เพื่อไม่ให้พรรคการเมือง

                  หรือองค์กรอื่นใดเข้ามาแทรกแซงการทำงานของวุฒิสภาได้ ข้อเสนอเรื่องที่มาของวุฒิสภาต้องยอม
                  รับว่ายังไม่ได้ออกแบบมาชัดเจนนัก ยังเป็นเพียงทางเลือกอีกเช่นเดียวกัน


                       ทางเลือกที่ 1 อาจจะเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม หากเอาเรื่องการเลือกตั้งเป็นตัวตั้ง
                  ทางเลือกที่ 2 อาจจะใช้วิธีสรรหาหรือแต่งตั้งโดยบุคคลหรือคณะบุคคลหรือองค์กรที่มีที่มาหรือ

                  มีจุดยึดโยงกับประชาชน ทางเลือกที่ 3 อาจจะใช้ทั้งสองแบบ เป็นระบบผสมแบบที่เราเคยทำมา
                  ก็ได้


                       นี่คือหลักการกว้างๆ ของที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งที่ประชุมยังไม่ได้ตกลงว่าจะใช้แบบใด
                  แต่ที่สำคัญและเห็นพ้องต้องกันแล้วคือ ไม่เอาระบบเดิมที่ใช้วิธีสรรหาแบบการเลือกตั้งสมาชิก

                  วุฒิสภาปี 2550 ที่ภาษาสื่อใช้คำว่า “ระบบ 7 อรหันต์” โดยต้องคิดระบบใหม่ที่ดีกว่านั้น


                       4) เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้แทนปวงชน ในอดีตเรามักจะพูดถึงการ
                  มีระบบสนับสนุนการทำงานของ ส.ส. แต่ว่าประเด็นที่เราพยายามดึงขึ้นมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ

                  การพยายามสร้างดุลอำนาจระหว่างตัวนักการเมืองที่ทำหน้าที่ในสภากับพรรคการเมืองที่เขาสังกัด
                  ประเด็นอาจจะโฟกัสอยู่ที่ตัว ส.ส. มากหน่อย โดยอาจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว ได้นำเสนอ
        สรุปสาระสำคัญการนำเสนอผลการประชุมกลุ่มย่อย
                  ข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าเวลาที่เราต่อว่า ส.ส.ว่าทำงานไม่เก่ง ทำงานไม่ดี มีหลักฐานเชิงประจักษ์บ่งชี้ไหม

                  ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ที่อาจารย์อรรถสิทธิ์นำเสนอต่อที่ประชุมกลุ่มย่อย คือ เราพบว่า ส.ส.
                  ขาดอำนาจต่อรองกับพรรคการเมือง ส่วนใหญ่จะลงมติไปตามมติของพรรค ขาดอิสระในการทำ

                  หน้าที่ของตนเอง เป็นที่มาของคำที่สื่อเรียกว่า “สภาทาส” บ้าง “สภาฝักถั่ว” บ้าง นอกจากนี้
                  มีหลักฐานเชิงประจักษ์อีกเช่นเดียวกันว่า ในช่วงระหว่างปี 2551 ถึง 2556 ทั้งที่ ส.ส. มีบทบาท
                  หน้าที่หลักในทางนิติบัญญัติ แต่กลับเป็นผู้ที่มีการริเริ่มเสนอกฎหมายน้อยกว่าฝ่ายบริหารมาก

                  และไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างแท้จริง รวมไปถึงการที่ผู้แทนราษฎรไม่สามารถ
                  ปกป้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาได้เท่าที่ควร
   674   675   676   677   678   679   680   681   682   683   684