Page 297 - kpi17073
P. 297
296 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16
ฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย คือ การที่ฝ่ายการเมือง
เข้ามาทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร และใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการบริหารประเทศ โดยมี
ข้าราชการประจำเป็นฝ่ายที่นำนโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่าย
การเมืองที่เป็นฝ่ายบริหารและข้าราชการประจำต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือ การนำนโยบาย
ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เมื่อฝ่ายการเมืองและ
ข้าราชการประจำต่างมีเป้าหมายเดียวกันในการทำงานแล้ว จึงต้องร่วมมือกันเพื่อให้การทำงาน
มีประสิทธิภาพและบังเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น เมื่อฝ่ายการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับข้าราชการประจำเป็นฝ่ายการเมืองที่เข้ามา
ทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการใช้อำนาจบริหารประเทศ ซึ่งจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
จึงต้องทำงานให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ในช่วงระยะเวลาของการดำรงตำแหน่ง เพื่อผลในวันข้างหน้าที่
จะมีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศต่อไป
สำหรับในส่วนของข้าราชการประจำนั้นต้องอยู่ในตำแหน่งจนถึงอายุ 60 ปี ต่างก็มีเส้นทางความ
ก้าวหน้าในอาชีพของตนเองตามความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล
หากทุกฝ่ายทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำต่างปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบอำนาจหน้าที่
ของตนเองตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็จะนำมาซึ่งความเจริญต่อประเทศชาติ และเกิดประโยชน์
สุขต่อประชาชน แต่เมื่อสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทำให้สถานการณ์ในหลายๆ ด้าน
เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีการซื้อสิทธิ ขายเสียง เพื่อให้ได้มาซึ่ง
อำนาจในทางการเมือง ได้เข้ามาเป็นนักการเมือง และใช้อำนาจทางการเมืองในการบริหาร
ประเทศ ซึ่งเมื่อฝ่ายการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศต่างใช้เงินในการซื้อเสียง จึงทำให้รูปแบบและ
เป้าหมายในการบริหารประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มุ่งประโยชน์ เพื่อประเทศชาติและ
ประชาชนเป็นสำคัญ กลับกลายเป็นมุ่งเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเป็นสำคัญ และเพื่อ
ให้การสนองตอบนโยบายที่จะเกิดประโยชน์กับตนเองและพวกพ้องสัมฤทธิ์ผล ฝ่ายการเมือง
จึงต้องร่วมมือกับข้าราชการประจำ เพราะฝ่ายการเมืองมีเพียงอำนาจในการกำหนดนโยบาย
แต่ข้าราชการประจำมีอำนาจนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน
เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย โดยฝ่ายการเมืองก็จะได้ประโยชน์
4
จากการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อตนเองและพวกพ้อง ส่วนข้าราชการประจำที่ร่วมมือกับฝ่ายการเมือง
ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จในตำแหน่งทางราชการที่สูงขึ้น ทำให้ระบบความเจริญก้าวหน้า
ตามความรู้ความสามารถของข้าราชการเปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นว่าข้าราชการที่รับใช้
ฝ่ายการเมืองจะได้รับการตอบแทนเป็นตำแหน่งในหน้าที่ราชการ ทำให้ข้าราชการบางคนลืม
อุดมการณ์ของการเป็นข้าราชการ และเมื่อฝ่ายการเมืองเห็นประโยชน์จากการร่วมมือกับ
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3 การขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวมอันเกิดจากการใช้อำนาจทางการบริหารของรัฐบาล หรือ
การทุจริตเชิงนโยบาย (Policy Corruption) หมายถึง การแสวงหาผลประโยชน์ หรือการเอื้อประโยชน์ หรือ
4
ของรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบาย เสนอโครงการ หรือดำเนินโครงการหรือกิจการต่าง ๆ อันเป็นผลให้ตนเองหรือ
ผู้อื่นได้ประโยชน์จากการดำเนินการตามโครงการหรือกิจการนั้นๆ หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (อ้างอิงจาก
เอกสารหลักและมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2556 โดย คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป), หน้า 12.