Page 117 - kpi17073
P. 117

116     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน



                       สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่ควบคู่กับรัฐไทยและสังคมไทยมาตั้งแต่การก่อตั้ง
                  รัฐไทยในสมัยพระราชอาณาจักรอ้ายลาวเมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว  พระมหากษัตริย์
                                                                                        13
                  ทรงเป็นประมุขสูงสุดแห่งชาติ (supreme head of the Thai state) ทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญ
                  (great warrior) และผู้บัญชาการทหารสูงสุด (supreme commander of the Thai state’s
                  armed forces) ของรัฐไทยที่ทรงนำทัพออกศึกสงครามนำหน้าขุนทหารเพื่อปกป้องรักษาเอกราช

                  ของรัฐไทยมาโดยตลอด แต่ในห้วงระยะเวลานั้นชนชาติไทยที่มีกำลังไพร่พลน้อยและต้องต่อสู้กับ
                  ศัตรูต่างชาติที่มีกำลังไพร่พลเหนือกว่ามากเพื่อปกป้องรัฐไทยอย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด

                  โดยเฉพาะชนชาติมองโกลและจีนที่มีแสนยานุภาพกำลังพลมากกว่า  ชนชาติไทยซึ่งมีกำลังพล
                                                                                  14
                  น้อยกว่าและไม่สามารถต่อสู้ได้แต่ไม่ยอมเป็นประเทศราชก็ได้ถอยร่นมาก่อตั้งพระราชอาณาจักร
                  น่านเจ้าในระยะเวลาต่อมา แต่ก็ถูกพวกมองโกลและจีนที่มีกำลังพลเหนือกว่าชนชาติไทยตามมา

                  รุกรานอีก ชนชาติไทยไม่สามารถต่อสู้ได้ พระมหากษัตริย์ไทยนำโดยพ่อขุนบางกลางท่าวหรือ
                  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงได้นำกองทัพและชนชาติไทยอพยพลงมาสร้างบ้านแปงเมืองก่อตั้ง

                  พระราชอาณาจักรสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. 1792 จนกระทั่งสิ้นสุดพระราชอาณาจักรสุโขทัยเมื่อ พ.ศ.
                  1981 พระราชอาณาจักรสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ปกครองรวม 9 พระองค์ การปกครองในสมัย
                  สุโขทัยเป็นการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” (paternalism) โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะ

                  และบทบาทเป็นเสมือน “พ่อ” ของประชาชนซึ่งเป็นเสมือน “ลูก” ของพระองค์ ความสัมพันธ์
                  ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนจึงความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูก โดยพระมหากษัตริย์จะทรง

                  ดูแลปกป้องคุ้มครองประชาชนให้อยู่ดีมีสุข มีความเอื้ออาทร ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงองค์พระมหา-
                  กษัตริย์โดยเฉพาะการร้องเรียนความทุกข์ร้อน ที่เรียกว่า “ตีกลองร้องฎีกา” ประชาชนมีความ
                  จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นการตอบแทน ในช่วงระยะเวลานั้นพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์

                  ได้เผยแผ่เข้ามาในพระราชอาณาจักรสุโขทัย ในรัชกาลพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงนำเอาหลัก
                  ธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน อาทิ ทศพิธราชธรรม พรหมวิหารธรรม

                  วุฒิธรรม จักรวรรดิวัตรธรรม สังคหวัตถุธรรม เป็นต้น พระมหากษัตริย์จึงได้รับการยกย่องจาก
                  ประชาชนเป็น “พระมหาธรรมราชา” ของเขา


                       ถึงแม้ในปลายสมัยกรุงสุโขทัยและต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาชนชาติไทยจะได้รับอิทธิพลของ
                  ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาใช้ในระบบการเมืองการปกครองของชนชาติไทยก็ตาม ส่งผลทำให้

                  เกิดระบบการปกครองแบบ “เทวสมมุติ” (divine rule) ในสังคมไทย กล่าวคือพระมหากษัตริย์
                  เป็นเสมือน “พระเจ้า” และเป็น “นาย” ของประชาชนซึ่งเปรียบเสมือน “บ่าว” ก็ตาม แต่อิทธิพล



                        D.G.E. Hall, A History of South-East Asia (London: Macmillan, 1955;  Phra Sarasas, My Country:
                     13
                    Thailand. First published in Japan in 1940. Bangkok Edition, 1950. และโปรดดู พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 1   เจ้าจุลจักรพงศ์, เจ้าชีวิต : พงศาวดาร 9 รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี, พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์ริ

                  เวอร์ บุ๊คส์ จำกัด, 2554).


                    14
                        รายละเอียดโปรดดู หอมรดกไทย, ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย. ผู้เขียนได้สืบค้นเมื่อวันที่ 10
                  กุมภาพันธ์ 2557 จาก http://heritage.mod.go.th/nation/history/hist.1.htm
   112   113   114   115   116   117   118   119   120   121   122