Page 14 - kpiebook67036
P. 14

13





                          ระบบที่สอง regimen politicum คือแนวคิดที่ว่า อ�านาจทางการเมืองอยู่ที่ประชาชน โดยมี

                  homines meliores (ผู้น�าหรือผู้ที่มีบทบาทส�าคัญในหมู่ประชาชน) เป็นตัวแทน ที่กษัตริย์จะต้องรับผิดชอบ
                  การกระท�าของพระองค์ต่อตัวแทนดังกล่าวนี้   ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ dominium politicum et regale
                                                        11
                  ที่หมายถึง การดุลอ�านาจระหว่างผู้ปกครอง/กษัตริย์และสภาต่างๆ ที่เป็นสภาแห่งตัวแทนประชาชนต่างๆ
                  (the representative assemblies) หรือถ้าจะกล่าวในบริบทของยุโรปในช่วงต้นสมัยใหม่ก็คือฐานันดรต่างๆ
                                                                                                          12
                  และอยู่ในประเภทอภิชนา/คณาธิปไตยแบบผสม (mixed aristo/oligo-archy) ในทฤษฎีการปกครองแบบผสม
                  ซึ่งในที่นี้ ค�าว่า อภิชนา และ คณา สามารถใช้สลับกันได้ อันหมายถึงคณะบุคคลที่มีสถานะทางเศรษฐกิจ

                  สังคมสูง


                          แม้ว่า regimen regale ที่เป็นแนวคิดที่ว่าสถาบันกษัตริย์ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยเชื่อมโยงกับ
                  พระผู้เป็นเจ้าและผู้ใต้ปกครองภายใต้สถาบันกษัตริย์นี้ไม่มีสิทธิ์ มีแต่หน้าที่ อาจจะท�าให้คิดว่าแนวคิดนี้

                  สนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่จริงๆ แล้ว ทั้งกรอบแนวคิด “regimen regale และ regimen
                  politicum” และ “dominium regale และ dominium politicum et regale” ต่างปฏิเสธ “กรอบแนวคิด

                  สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่หมายถึงการที่กษัตริย์มีอ�านาจอันล้นพ้นและสมบูรณ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาด


                          หากพิจารณาฐานคิดของทั้งสองกรอบแนวคิดนี้ จะพบว่า ทั้งสองกรอบแนวคิดมีฐานคิดอยู่ภายใต้
                  ทฤษฎีการปกครองแบบผสม (the theory of mixed constitution) ที่ยืนยันความเป็นจริงของส่วนประกอบ

                  ทางการเมืองทั้งสามส่วนอันได้แก่ เอกบุคคล คณะบุคคลและคนส่วนใหญ่ และชี้ให้เห็นถึงสหสัมพันธ์
                  ทางอ�านาจทางการเมืองของทั้งสามองค์ประกอบ และเปิดพื้นที่ให้เห็นถึงพลวัตรการต่อสู้แข่งขันและ

                  การสร้างพันธมิตรทางการเมืองระหว่างองค์ประกอบทั้งสามนี้ และส่วนประกอบแต่ละส่วนนี้จะมีบทบาท
                  มากน้อยและสัมพันธ์กันในลักษณะใดก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและบริบททางการเมืองในแต่ละช่วง หรือ

                  ในแต่ละยุคสมัย






                  11    John P. Maarbjerg, “Regimen Politicum and Regimen Regale: Political Change and Continuity in Denmark
                  and Sweden (c. 1450-1550),” Scandinavian Studies, 72.2 (Summer 2000), p. 152.
                  12    ผู้ที่พัฒนากรอบแนวคิด dominium politicum et regale ให้มีความชัดเจนและแพร่หลายและประยุกต์ใช้อธิบาย
                  การปกครองร่วมสมัยเป็นคนแรก คือ John Fortescue (ค.ศ. 1394-1479) และต่อมา H. G. Koenigsberger ได้น�ามา

                  พัฒนาและประยุกต์ใช้ในการท�าความเข้าใจและตีความรูปแบบการปกครองประเทศต่างๆ ในยุโรปในช่วงต้นสมัยใหม่
                  dominium politicum et regale เป็นประเด็นที่ Koenigsberger ได้ศึกษาค้นคว้าและเป็นหัวข้อที่เขาใช้บรรยายในโอกาส
                  เข้ารับต�าแหน่งศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยลอนดอนในปี ค.ศ. 1975 และต่อมาได้มีการถอดเป็น
                  บทความ H. G. Koenigsberger, “Monarchies and Parliaments in Early Modern Europe Dominium Regale or
                  Dominium Politicum et Regale,” Theory and Society, Vol. 5, No. 2 (Mar., 1978), pp. 191-217. และต่อมาได้ตีพิมพ์
                  หนังสือชื่อ Monarchies, States Generals and Parliaments: The Netherlands in the Fifteenth and Sixteenth
                  Centuries (Cambridge: Cambridge University Press: 2001) และ Andrew Spicer ได้วิจารณ์หนังสือเล่มนี้ใน review
                  of Monarchies, States Generals and Parliaments: The Netherlands in the Fifteenth and Sixteenth Centuries,
                  (review no. 292) November 2002.
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19