Page 18 - kpiebook67036
P. 18

17





                           และเมื่อพิจารณาในกรณีของสวีเดน จะพบว่า การเมืองสวีเดนมีเงื่อนไขทั้งสามประการนี้

                  นั่นคือ เงื่อนไขประการแรก มีจุดเริ่มต้นของ dominium politicum et regale ในการศึกษาการเมือง
                  ในยุคสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) ของ Erik Lonnroth ที่ออกมาในปี ค.ศ. 1934 เขาใช้แนวคิด

                  regimen politicum และ regimen regale ที่เป็นปรากฏการณ์การต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วไปในยุโรป
                  อันเป็นแนวคิดที่ไม่ต่างจาก dominium politicum et regale และ dominium regale ในการอธิบายการต่อสู้

                  ทางการเมืองในสวีเดนยุคสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) โดย Lonnroth ได้ชี้ให้เห็นว่า dominium
                  politicum et regale ได้ถือก�าเนิดขึ้นในสวีเดนในช่วงสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) และอันที่จริง

                  ในความเห็นของผู้เขียน dominium politicum et regale และ regimen politicum ได้เกิดขึ้นตั้งแต่
                  มีการตรากฎบัตรแห่งเสรีภาพ (the Charter of Liberties) และกฎหมายแห่งแผ่นดิน (landslag: Land Law)

                  ในตอนต้น-กลางศตวรรษที่สิบสี่แล้ว  22


                           เงื่อนไขประการที่สอง การมีต�านานหรือจารีตประเพณีเกี่ยวกับสภา เราจะพบว่า สวีเดนมีต�านาน
                  เกี่ยวกับ ting ที่เป็นที่ประชุมท้องถิ่นของชาวนาที่ย้อนกลับไปถึงยุคไวกิง และยังคงมีบทบาทส�าคัญตลอดมา

                  จนถึงศตวรรษที่สิบห้าที่สภาฐานันดรได้เข้ามามีบทบาทแทนที่ ting


                           ส่วนเงื่อนไขประการที่สาม ที่กล่าวว่าการเกิดวิกฤตเป็นสาเหตุที่ท�าให้เกิดสภาในฐานะที่เป็นเวที
                  ระดมความคิดเห็น การหาฉันทามติและความชอบธรรม จะพบว่า วิกฤตทางการเมืองหลายครั้งที่ท�าให้

                  เกิดความจ�าเป็นที่จะต้องสร้างเวทีที่เป็นสภาขึ้น เช่น การตั้งสภาสองสภาขึ้นในรัชสมัยของ Magnus III
                  เพื่อแก้ไขวิกฤตการไร้เสถียรภาพในการครองราชย์และการสืบราชสันตติวงศ์ และที่เห็นได้ชัดเจนคือ

                  การพยายามควานหาฉันทามติจากฐานันดรต่างๆ ของ Engelbrekt Engelbrektsson โดยการเรียกประชุม
                  ฐานันดรต่างๆ ในปี ค.ศ. 1435 อันเป็นจุดก�าเนิดของสภาฐานันดรครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมือง



                  22    ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบสาม กษัตริย์สวีเดนหลายพระองค์ได้พยายามที่จะรักษาอ�านาจในทางบริหาร นิติบัญญัติ
                  และตุลาการให้เข้มแข็งมั่นคงในลักษณะเดียวกันกับที่กษัตริย์ในสายของ Valdemars แห่งเดนมาร์กทรงกระท�า และ
                  พยายามที่จะสถาปนาระบอบกษัตริย์ที่สืบสายโลหิต โดยไม่จ�าเป็นต้องขอเสียงสนับสนุนหรือได้รับการเลือกผ่าน ting

                  ในระดับต่างๆ นั่นคือ การพยายามท�าให้กษัตริย์มีความเป็นอิสระและมีอ�านาจมากขึ้น และลดทอนอ�านาจต่อรองของ
                  พวกชนชั้นอภิชนลง แต่ความพยายามดังกล่าวของกษัตริย์สวีเดนในช่วงนี้ไม่ประสบความส�าเร็จ และในช่วงต้นศตวรรษที่
                  สิบสี่ หลังจากช่วงเวลาแห่งสงครามกลางเมืองที่รุนแรงร้าวลึกระหว่างสายตระกูลต่างๆ ในราชวงศ์ ส่งผลให้พวกอภิชน
                  ที่ได้รวมตัวกันเป็นสภาของพวกตน และสามารถยึดอ�านาจและรักษาสถานะของการเป็นหลักประกันในการต่อต้าน
                  ทัดทานการสถาปนาพระราชอ�านาจอันสมบูรณ์ของกษัตริย์ไว้ได้ ในแง่มุมหนึ่ง การรวมตัวของพวกอภิชนจะสามารถ
                  ถ่วงดุลอ�านาจของกษัตริย์ไม่ให้มีอ�านาจมากและช่วยปกป้องเสรีภาพของพวกอภิชนและชนชั้นล่างได้ อย่างที่กล่าว
                  ไปข้างต้น แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง หากพวกอภิชนมีความเข้มแข็งจนเกินไปก็อาจจะกดขี่ชนชั้นล่างได้อีกเช่นกัน ดังนั้น

                  ในแง่นี้ กษัตริย์ที่เข้มแข็งก็จะสามารถทัดทานอ�านาจของพวกอภิชนไม่ไห้ใช้อ�านาจจนเกินไป ดังนั้น กษัตริย์บางพระองค์
                  ที่มีความเข้มแข็งเหนือพวกอภิชนจึงประกาศตนเป็นผู้ปกป้องชนชั้นชาวนาจากการเก็บส่วยภาษีที่ไม่เป็นธรรมจากพวกอภิชน
                  อย่างไรก็ตาม เมื่อกษัตริย์อ่อนแอลงจากการท�าสงครามกันเองภายในราชวงศ์ และพวกอภิชนสามารถรวมตัวกันและ
                  ตั้งเป็นสภาของพวกตนได้ส่งผลให้ในปี ค.ศ. 1319 และมีการตรากฎบัตรแห่งเสรีภาพ (Charters of Liberties) ที่ถือเป็น
                  การท�าสัญญาระหว่างกษัตริย์กับประชาชนในท�านองเดียวกันกับ Magna Carta ของอังกฤษในปี ค.ศ. 1215
   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23