Page 58 - kpiebook67026
P. 58
57
ในด้านการเงินส�าหรับการผ่าตัดแปลงเพศและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดูแลสุขภาพของ
ผู้ร้องแต่กลับไม่อนุญาตให้มีการรับรองสถานภาพตามกฎหมายของบุคคลซึ่งเป็นผล
จากการแปลงเพศ ประกอบกับแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นในทางระหว่างประเทศนั้นเป็น
ที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า บุคคลแปลงเพศคือบุคคลที่มีปัญหาด้านสุขภาพซึ่งจ�าเป็น
ต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บป่วยเหล่านั้น กรณีจึงกล่าวได้ว่าสิทธิของ
บุคคลแปลงเพศเป็นสิทธิในการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อความมั่นคงทางจิตใจและร่างกาย
รัฐจึงไม่ควรละเลยปล่อยให้บุคคลแปลงเพศต้องด�ารงชีวิตในพื้นที่ซึ่งไม่อาจนิยามได้ว่า
เขาเป็นเพศใด การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางกฎหมาย
ของผู้ร้องจากเพศชายเป็นเพศหญิง และไม่ด�าเนินการแก้ไขเอกสารทางกฎหมาย
ให้ตรงตามเพศที่เกิดใหม่ภายหลังจากการผ่าตัดให้แก่ผู้ร้องจึงเป็นการละเมิดสิทธิ
ในความเป็นอยู่ส่วนตัวตามมาตรา 8 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป
นอกจากนั้น การที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมด�าเนินการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้ร้องกับ
คู่รักซึ่งเป็นเพศชายยังเป็นการละเมิดบทบัญญัติมาตรา 12 ของอนุสัญญาว่าด้วย
สิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งรับรองสิทธิในการสมรสและก่อตั้งครอบครัว ทั้งนี้ เพราะ
สิทธิในการสมรสมิได้ขึ้นอยู่เพศที่ก�าหนดขึ้นโดยสรีระทางธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น หากแต่ยังเป็นสิทธิที่ตกแก่บุคคลแปลงเพศซึ่งผ่านกระบวนการผ่าตัดแปลงเพศ
และมีความประสงคที่จะสมรสกับบุคคลที่มีเพศตรงข้ามภายหลังจากการเขาได้รับ
การแปลงเพศเรียบร้อยแล้วด้วย
โดยสิทธิดังกล่าวได้ถูกรับรองไว้ในหลักการยอกยาการตาฉบับปี ค.ศ 2017
ด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากหลักการข้อ 31 ซึ่งก�าหนดถึงสิทธิในการรับรองทาง
กฎหมาย (The right to legal recognition) ของบุคคลไว้ว่า“บุคคลทุกคนย่อมมี
สิทธิในการรับรองทางกฎหมายโดยปราศจากการอ้างอิงหรือถูกก�าหนดให้ต้องเปิดเผย
เกี่ยวเพศ เพศสภาพ วิถีทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ การแสดงออกทางเพศ หรือ
คุณลักษณะทางเพศ โดยบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิที่ได้รับเอกสารเพื่อแสดงถึง
อัตลักษณ์ รวมถึงใบสูติบัตร โดยไม่ค�านึงถึงเหตุแห่งวิถีทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ
การแสดงออกทางเพศ หรือคุณลักษณะทางเพศของบุคคลนั้น และบุคคลทุกคน
ย่อมมีสิทธิที่จะเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเพศสภาพในเอกสารโดยการระบุข้อมูลเกี่ยวกับ
เพศสภาพดังกล่าวลงในเอกสารนั้น”