Page 16 - kpiebook67014
P. 16
ทั้งยังต้องการมีส่วนร่วมรับผิดชอบและเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น ภาคประชาชนจะเข้มแข็งได้ก็
ต่อเมื่อมีความเป็นพลเมือง
การกล่าวถึงพลเมือง และประชาชน ควบคู่กันไป แสดงให้เห็นถึงนัยยะที่แตกต่างกันของสองค านี้ ดังที่
นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์ (2553) กล่าวว่า “ประชาชน” กับ “พลเมือง” เป็นค าที่ต่างกัน หากกล่าวถึงประชาชน
จะหมายถึงคนที่ยังไม่มีสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ ดังนั้น สถานะของประชาชนตามความหมายนี้จึงไม่สะท้อนความ
เป็นก าลังของเมือง ตามที่สุภีร์ สมอนาให้ความหมายไว้ หรือตามที่ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อ้างถึง เพราะ
พลเมืองจะมีสิทธิเสรีภาพ มีความรับผิดชอบ และมีความเสียสละต่อสังคมส่วนรวม รวมทั้งยังมีหน้าที่ตามกฎหมาย
เช่น หน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ ฯลฯ หากไม่ได้ท าตามหน้าที่ที่กฎหมายก าหนดไว้อย่าง
ครบถ้วนถือว่าไม่ใช่พลเมือง
เพื่อให้บ่งชี้ลักษณะของพลเมืองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น อาจพิจารณาได้จากถวิลวดี บุรีกุล และคณะ
(2557) ที่ศึกษาคุณสมบัติของพลเมืองไทย โดยแบ่งพลเมืองเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ พลเมืองที่ให้ความส าคัญกับ
วัฒนธรรม (เช่น ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การเสียสละเวลาท างานส่วนรวม ปฏิบัติตามกฎหมาย ฯลฯ) กับพลเมืองที่ให้
ความส าคัญกับอิสรภาพและความก้าวหน้า (เช่น สามารถวิเคราะห์และแสดงความเห็นทางการเมือง มีความรู้ด้าน
การเมือง เป็นสมาชิกกลุ่ม ฯลฯ) นอกจากนี้ ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ (2563) ท าการศึกษาการศึกษาพฤติกรรม
ความเป็นพลเมืองของสังคมไทย ได้แบ่งพลเมืองออกเป็น 4 ระดับ และก าหนดให้ระดับ 2 - 4 สะท้อนคุณลักษณะ
ประชาชนที่มีความเป็นพลเมืองเข้มแข็ง ได้แก่ ตระหนักรู้ (เช่น สนใจข่าวสาร เข้าใจหน้าที่และสิทธิพลเมือง เคารพ
สิทธิผู้อื่น) กระตือรือร้น (เช่น มีส่วนร่วมกิจกรรมส่วนรวมเป็นประจ า ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม) และผูกพัน
ต่อการมีส่วนร่วม (เช่น เสียสละเพื่อส่วนรวม ริเริ่มเชิญชวนผู้อื่น เป็นผู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง)
การแบ่งระดับหรือจ าแนกลักษณะความเป็นพลเมืองดังกล่าว ท าให้เห็นได้ว่า นอกเหนือจากความแตกต่าง
ระหว่างค าว่าประชาชน กับค าว่าพลเมืองแล้ว ความเป็นพลเมืองยังมีอีกหลายระดับ ที่คณะผู้วิจัยเห็นว่าระดับของ
ความเป็นพลเมืองนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่หนุนเสริมให้พลเมืองถูกจัดล าดับหรือประเภทที่แตกต่างกัน
เช่นเดียวกันกับค าว่าประชาชนที่หมายถึงคนทั่วไปที่ไม่มีสิทธิมีเสียงใด ๆ และจะก้าวข้ามไปสู่ความเป็นพลเมืองได้
ก็ต่อเมื่อได้รับสิทธิ มีส่วนร่วม และท าหน้าที่ของตนจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าเป็นก าลังของเมือง จึงจะเรียกว่าเป็น
พลเมือง จากการให้ความหมายและการน าเสนอตัวชี้วัดความเป็นพลเมืองหรือประชาชนที่เข้มแข็ง โดยนพรัตน์
วงศ์วิทยาพาณิชย์ (2553) ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ (2557) และเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2559) คณะผู้วิจัยขอ
สรุปว่า ประชาชนที่เข้มแข็งก็คือพลเมือง หรือประชาชนที่มีความเป็นพลเมืองนั่นเอง ข้อความดังกล่าวถือว่า
สะท้อนความหมายของความเป็นพลเมืองในแบบตรงตัว
อย่างไรก็ดี ความเป็นพลเมืองมีคุณค่าและความหมายมากกว่านั้น คณะผู้วิจัยขออธิบายเพิ่มเติมถึงความ
เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เพราะพลเมืองมีจุดยึดโยงส าคัญกับการพัฒนาความเป็นไป
ของบ้านเมือง ที่เห็นได้ชัดเจนคือการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ซึ่งพลเมืองอยู่ในฐานะหุ้นส่วนทาง
นโยบาย (ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ, 2563, น.39; Kaur, 2018, p.3) ความเป็นก าลังส าคัญของพลเมืองในการ
พัฒนานโยบายสาธารณะนี้สอดคล้องกับ Karkin ที่เห็นว่าพลเมืองจ าเป็นต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ
โดยพลเมืองอาจมีตัวแทนในการร่วมด าเนินงานและตรวจสอบในแต่ละขั้นตอนของนโยบาย เช่น การโหวต ประชา
พิจารณ์ การร้องเรียน ฯลฯ (Karkin, 2011, pp.9-13)
การสร้างความเป็นพลเมืองในงานวิจัยนี้ ให้ความส าคัญกับการสร้างความเกี่ยวพันของพลเมืองกับนโยบาย
สาธารณะตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับท้องถิ่น การมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะจะช่วยเปลี่ยนประชาชนคน
ธรรมดาให้กลายเป็นก าลังส าคัญของบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่ ท าให้คนมีส านึกและรู้สึกผูกพัน
กับนโยบายสาธารณะ กระตุ้นให้คนเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการนโยบาย และเข้าใจกระบวนการท างานของรัฐที่
- 13 -