Page 241 - kpiebook66030
P. 241

สรุปการประชุมวิชาการ   2 1
                                                                               สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 24
                                                                                ความท้าทายของความมั่นคงใหม่กับประชาธิปไตย


             ประสบการณ์จากคนรอบข้างซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการและมองว่าเป็นแนวปฏิบัติของ
             ผู้กล้าหรือผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน

                   งานของ Sascha Helbardt (2012) ได้กล่าวถึงเรื่องการปลูกฝังไว้ในบทความเรื่อง

             Becoming Patani Warrior: Individuals and Insurgent collective in Southern Thailand
             โดยระบุว่า บีอาร์เอ็นปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมมลายู ดำเนินปฏิบัติการสอดแนมในหมู่บ้าน
             และมีการระดมเสียงสนับสนุนจากมวลชน โดยการขยายอุดมการณ์ชาตินิยมมลายูนี้จะเป็นไป
             เพื่อระดมหาสมาชิกโดยเฉพาะเยาวชนในชุมชนด้วยเช่นกัน ขณะที่งานของ รุ่งรวี เฉลิมศรี
             ภิญโญรัช (2021) มองในประเด็นเรื่องความเชื่อและการปลูกฝังของกลุ่มขบวนการผ่าน

             บทความเรื่อง อิสลามและบีอาร์เอนขบวนการติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ประเทศไทย
             (Islam and the BRN’s armed separatist movement in Southern Thailand) ระบุว่า
             บทบาทและปัจจัยทางศาสนาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมจำนวนมากเข้าร่วมกับ

             กลุ่มขบวนการ BRN การก่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ฝ่ายขบวนการมักให้เหตุผลในเชิงของ
             ความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอิสลามคือการทำญิฮาดและศาสนานับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งโดยมี
             การบรรจุอยู่ในวาระต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มบีอาร์เอ็นและในฝ่ายนักรบเองก็ถูกปลูกฝัง
             ความเชื่อทางศาสนาอย่างเหนียวแน่นและได้นำความเชื่อดังกล่าวเป็นตัวแปรสู่การก่อเหตุและ
             ต่อสู้กับฝ่ายกองกำลังความมั่นคงของรัฐไทย


                   นอกจากนั้นแล้ว งานของรุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช (2562) ได้ตั้งข้อสังเกตต่อประเด็น
             แนวคิดและอุดมการณ์ของกลุ่มขบวนการ ในบทความเรื่อง “อิสลามกับการต่อสู่ของขบวนการ
             ปลดปล่อยปาตานีหลัง 2547” เอาไว้ว่า “ศาสนาอิสลามเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่ง

             ในการต่อสู้ของบีอาร์เอ็น ซึ่งแยกไม่ออกจากความเป็นชาติพันธุ์มลายู อิสลามเป็นส่วนหนึ่งของ
             อัตลักษณ์ที่ต้องปกป้อง เป็นกรอบคิดในการให้ความชอบธรรมกับการต่อสู้ เป็นแหล่งอ้างอิงถึง
             กฎกติกาในการทำสงคราม รวมถึงเป็นกรอบพื้นฐานทางกฎหมายในการสร้างรัฐ” โดยรุ่งรวี
             ยังตั้งข้อถกเถียงที่น่าสนใจว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ชาวมลายูมุสลิมเรียกร้อง และอิสลาม

             เป็นฐานความชอบธรรมและเป็นกรอบกติกาในการทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาและชาติพันธุ์
             มลายู อีกทั้งอิสลามเป็นฐานคิดของรูปแบบรัฐชาติที่ชาวมลายูมุสลิมพึงปรารถนา ขณะที่
             นักวิชาการบางท่านก็มองว่า กลุ่มขบวนการเป็นกลุ่มชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์ มองว่า
             ศาสนาอิสลามเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้ในการปลุกเร้าให้คนเข้าร่วมขบวนการเท่านั้น

             (McCargo, 2008; Liow& Pathan, 2010; Gunaratna & Acharya, 2012)

                   ความเชื่อมโยงของความเชื่อที่มาพร้อมกับมิติด้านศาสนาและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
             ก็มักทำให้เห็นว่าผู้เห็นต่างที่มีการปฏิบัติการมักจะได้รับฟังเรื่องราวจากในชุมชนและสถานศึกษา
             ซึ่งในประเด็นนี้ก็สอดคล้องกับงานของแพร ศิริดำเกิง (2561) ได้ระบุว่า บุคลิกของคนที่มักจะ

             ถูกเชิญชวนเข้าร่วมขบวนการมักจะเป็นผู้เคร่งครัดในทางศาสนา และการเติบโตของอุดมการณ์         บทความที่ผ่านการพิจารณา
             ก็มักจะเกิดขึ้นในโรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่
   236   237   238   239   240   241   242   243   244   245   246