Page 42 - kpiebook66004
P. 42
42
โปเดมอสจึงใช้การสร้างห่วงโซ่นี�ในการเชื�อมโยงประชาชนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธิ์ีการ
สื�อสารทางตรง ทางการศูึกษา ทางวัฒนธิ์รรม เพิื�อที�จะสร้างอัตลักษณี์ของชาติสเปนใหม่ เพิื�อที�จะเป็นจุดศููนย์รวม
127
ของประชาชนที�แท้จริง การรวบัรวมประชาชนโดยการใช้ห่วงโซ่ดังกล่าว คือการสร้างแนวร่วม และแนวหน้า
ทางการเมือง ที�เป็นฝ่่ายของประชาชนที�เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศู โดยมีโปเดมอสเป็นพิรรคการเมืองที�เป็น
สถาบััน ที�เป็นตัวแทนของเสียงที�แสดงความต้องการของประชาชนจากเบัื�องล่าง
3.3.2 จัาก antagonism สู่ agonism
คำว่าคู่ขัดแย้งนั�นในภาษาอังกฤษที�ลาคลาวและ มูฟ ใช้ในงาน Hegemony ในปี 1985 (และ 2001 ในฉบัับั
พิิมพิ์ครั�งที�สอง) จะใช้คำว่า antagonism ซึ�งใช้ในความหมายที�เป็นคู่ขัดแย้งกันในลักษณีะของการต่อสู้แย่งชิง
อำนาจนำ แม้ว่าในงาน Hegemony นั�น คำว่า antagonism จะไม่ได้มีความหมายในเชิงการต่อสู้กันอย่าง
เอาเป็นเอาตาย หรือต้องรบัราฆ่าฟันกัน หากแต่มีความหมายในเชิงการชี�ให้เห็นคู่ตรงข้าม และสร้างแนวหน้า
ทางการเมือง เพิื�อนำไปสู่ประชาธิ์ิปไตยที�หยั�งรากลึก และการปฏิิวัติประชาธิ์ิปไตย อย่างไรก็ดี antagonism
129
128
นั�นยังมีนัยของการที�ตัวแสดงทางการเมืองที�เป็นคู่ขัดแย้งกันนั�น ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสนามทางการเมือง
หนึ�ง ๆ เพิราะความแตกต่างของอัตลักษณี์ซึ�งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื�องของความแตกต่างของศูาสนา ชาติพิันธิ์ุ์
หรือเศูรษฐกิจ สิ�งเหล่านี�จึงกลายมาเป็นความเป็นการเมืองที�ต่อสู้กันในรูปแบับัของคู่ขัดแย้ง นำไปสู่การเมือง
แบับั มิตร/ศูัตรู ที�จะต้องต่อสู้เพิื�อครองอำนาจนำ เพิื�อให้อีกฝ่่ายนั�นไม่มีพิื�นที�และไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ�ง
130
นั�นก็เป็นลักษณีะทั�วไปโดยพิื�นฐานของการชิงอำนาจนำที�จะต้องพิยายามลดทอนตัวตนของคู่ขัดแย้งลงไปให้
มากที�สุด
131
ซึ�งต่างกับั agonism ซึ�งเป็นคำที�ใช้อธิ์ิบัายคู่ขัดแย้งของ มูฟ ในเวลาต่อมา ซึ�งเป็นแนวคิดที�แสดงให้
เห็นถึงความแตกต่างของอัตลักษณี์ของคู่ขัดแย้งทางการเมืองเช่นเดียวกัน แต่ความแตกต่างระหว่างอัตลักษณี์/
ตัวแสดงทางการเมืองที�เป็นคู่ขัดแย้งกันในการชิงอำนาจนำนั�น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานะที�อยู่ร่วมกันไม่ได้ ดังนั�น
agonism นั�นยังคงให้ความชอบัธิ์รรมต่อความต้องการของทั�งสองฝ่่ายของคู่ขัดแย้ง และยังเปิดโอกาสให้คู่ขัดแย้ง
สามารถมีจุดร่วมกัน และสามารถเปลี�ยนฝ่่ายมาอยู่ด้วยกันได้ ในแง่นี� การชิงอำนาจนำจึงไม่ขัดต่อหลักการ
ประชาธิ์ิปไตยที�ว่าต้องยอมรับัฟังเสียงของอีกฝ่่าย agonistic politics จึงเป็นการเมืองที�ตั�งอยู่ระหว่างการเมือง
132
แบับัสมานฉันท์ (consensualistic politics) กับั การเมืองที�ต้องมีความขัดแย้งแบับั antagonism กล่าวคือ
agonism คือความขัดแย้งที�อยู่ในสนามการแข่งขันทางการเมืองแบับัเกมกีฬา (contest in the field) ที�เมื�อ
แข่งขันกันตามกติกาแล้วก็จับัมือกัน แต่ antagonism คือความขัดแย้งที�ต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ�ง (fighting
towards death) ซึ�งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฝ่่ายตรงข้ามได้มีพิื�นที�ทางการเมืองต่อไป
ดังนั�น กรอบัคิดของ agonism จึงเข้ากันได้ดีกับัแนวคิด/ยุทธิ์ศูาสตร์ประชานิยมฝ่่ายซ้ายดังที�ได้กล่าวไป
เพิราะได้เปิดโอกาสให้คนที�คิดต่างกัน นั�นสามารถเปลี�ยนมาร่วมกับัอีกฝ่่ายได้ กล่าวคือ การมองว่าประชาชนนั�น
127 Ibid.
128 Laclau and Mouffe, Hegemony and Socialist Strategy, 126–27.
129 Ibid., 159
130 Franzé, ‘The Podemos Discourse’, 51.
131 Mouffe, On the Political; Chantal Mouffe, The Return of the Political (Verso, 2020); Chantal Mouffe, Agonistics:
Thinking The World Politically, 1st edition (Verso, 2013); Mouffe, For a Left Populism.
132 Franzé, ‘The Podemos Discourse’, 51–52.