Page 87 - kpiebook65057
P. 87

1.3)  การที่ชาวบ้านเข้าถึงทรัพยากรได้ต่างกัน ในหมู่บ้านจึงมีทั้งกลุ่มคนรวย
                           และกลุ่มคนจน อันนำไปสู่การเกิดความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์
                           ระบบอุปถัมภ์ในหมู่บ้านจึงเป็นความสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยน

                           ระหว่างคนจนกับคนรวย คือ คนรวยกว่าต้องให้คนจนที่อยู่ใน
                           อุปถัมภ์ของตนเองได้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ โดยคนจนแลกการได้ใช้

                           ทรัพยากรด้วยการยอมรับไปเป็นลูกน้องหรือแรงงาน


                     2. วัฒนธรรมทางการเมืองของชนชั้นสูงที่มีศูนย์กลางอยู่ที่พระมหากษัตริย์
             โดยพัฒนามาจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นผลผลิต

             จากการขยายตัวของจักรวรรดินิยมในรูปลัทธิล่าอาณานิคม โดยชนชั้นสูงจะทำ
             การสร้างรัฐสมัยใหม่ (Modern State) ที่ไม่มีฐานความเป็นจริงในชีวิตของชาวบ้านไทย
             แต่กลายมาเป็นวัฒนธรรมที่ครอบงำสังคมไทยได้โดยอาศัยการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่

             ส่วนกลาง ทั้งในแง่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์และพื้นที่ทางวัฒนธรรม ดังนั้นอำนาจซึ่งเคย
             กระจายอยู่อย่างหลากหลายในสังคมไทยจึงมากระจุกอยู่แต่เฉพาะส่วนกลาง

             ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วใช้อำนาจที่เป็นทางการ (Authority) เป็นหลัก
             เช่น การปฏิิรูประบบราชการสมัยใหม่ การสร้างระบบกฎหมายแบบตะวันตก


                     3. วัฒนธรรมทางการเมืองของชนชั้นกลาง เป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับ

             การเลือกตั้งควบคู่ไปกับการรัฐประหารและเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม
             ทางการเมืองนี้เป็นผลมาจากความขัดแย้งภายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
             โดยตรง เนื่องจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ก่อให้เกิดชนชั้นกลางขึ้นมา

             2  กลุ่ม  คือ  พ่อค้าจีนซึ่งสามารถมีเสรีภาพในการค้าภายใต้ระบบเศรษฐกิจ
             ที่มีจักรวรรดินิยมเป็นผู้ครอบงำ ขณะเดียวกันพ่อค้าจีนก็เป็นมิตรกับชนชั้นปกครอง

             ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อีกทั้งชนชั้นกลางที่เป็นกลุ่มข้าราชการได้เป็นผู้นำ
             ในการสร้างระบอบการเมืองใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
             ซึ่งเป็นการเมืองของระบบราชการที่มีทั้งการเลือกตั้งและกรทำรัฐประหาร

             จนเปรียบเสมือนเหรียญเดียวกันที่มีสองด้าน (รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข และ
             สุธี ประศาสน์เศรษฐ, 2557, หน้า 74-77)





                                               32
   82   83   84   85   86   87   88   89   90   91   92