Page 55 - kpiebook63014
P. 55
54 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562
จังหวัดสุรินทร์
เวียงรัฐ เนติโพธิ์ (2546) นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญ
เรื่อง “เจ้าพ่อ” ในสังคมการเมืองไทย สรุปว่า ความหมายของคนที่เป็นเจ้าพ่อที่เรานึกถึงในสังคมไทย
ครอบคลุมอยู่สองประเด็น นั่นคือ
ประเด็นแรก พวกเขาคือผู้มีอำานาจนอกภาครัฐ มีพรรคพวกมากสามารถรวบรวมความจงรักภักดี
ความนับถือจากคนจำานวนมาก โดยที่อำานาจและบารมีที่เขามีเกิดขึ้นจากสิทธิพิเศษที่เขาสามารถเข้าถึง
ผู้มีอำานาจในรัฐและใช้ประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้ได้ (ซึ่งจะเรียกว่าเส้นสายหรือคอนเนคชั่นก็ได้)
พวกเขาสามารถที่จะปะทะ แข่งขัน ต่อรอง ประนีประนอมกับอำานาจรัฐได้อย่างเท่าเทียม มากกว่า หรือ
บางครั้งอาจจะน้อยกว่า ในขณะที่ประชาชนที่เป็นปัจเจกบุคคลทั่วไปทำาเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับที่
Joel Migdal เรียกว่าเป็น strong men (ผู้มีอิทธิพล) ที่นับเป็นอำานาจทางสังคมแบบหนึ่ง
ประเด็นที่สอง มีลักษณะเหมือน godfather หรือหัวหน้าแก๊งมาเฟียหรือองค์กรอาชญากรรม
คือ ทำาธุรกิจผิดกฎหมาย มีลูกน้องภายใต้การบังคับบัญชามาก ใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงอำานาจของตน
ซึ่งทำาได้โดยใช้ช่องทางที่ระบบราชการอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพเข้ามาแสวงหาประโยชน์
เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อธิบายว่า ความหมายของเจ้าพ่อที่สำาคัญที่สุดที่ทำาให้เจ้าพ่อดำารงอยู่ได้
ในสังคมไทยคือความหมายประการแรก ซึ่งก็คืออำานาจบารมีที่มีเหนือคนจำานวนมากจนสามารถปะทะ
สังสรรค์กับอำานาจรัฐได้ ภาวการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐที่อ่อนแอ (weak state) ที่ทำาให้อำานาจของ
ผู้มีอิทธิพล (strong men) ที่อยู่ในภาคสังคมเด่นชัดและเทียบเคียงได้กับอำานาจรัฐ
รัฐอ่อนแอ ไม่ได้แปลว่าอำานาจรัฐไม่รวมศูนย์ หรืออุดมการณ์การรัฐไม่เข้มแข็ง (เพราะเวียงรัฐ
เชื่อว่า รัฐไทยทั้งรวมศูนย์และเข้มแข็งทางอุดมการณ์อย่างยิ่ง) แต่หมายถึงกลไกรัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ข้าราชการต้องฉ้อราษฎร์บังหลวง (เพราะเงินไม่พอใช้ หรือเพราะมีช่องทางก็ตาม) รวมถึงการบริหารงาน
ที่ไม่เป็นระบบ เปิดโอกาสให้ผู้มีอิทธิพลนอกภาครัฐเข้ามาแทรกแซงได้ (เช่นการตำารวจ กระบวนการ
ยุติธรรม) ในแง่นี้รัฐไทยจึงเป็นรัฐที่อ่อนแออย่างยิ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อเนื่องนับจากการสร้างรัฐสมัยใหม่ใน
สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เช่น นายอำาเภอในยุคแรกๆ เมื่อถูกส่งไปเป็นผู้ปฏิบัติงานแทนรัฐเพื่อควบคุม
ท้องถิ่นที่ห่างไกลจากศูนย์กลาง แต่เมื่อไปถึงท้องถิ่นนั้น ก็ต้องเข้าหานักเลงประจำาถิ่นเพื่อหาข้อมูลหรือ
เพื่อประนีประนอมกับนักเลง ไม่เช่นนั้นก็ทำางานไม่ได้
ถ้าเราจะมองต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เราคงเห็นพ้องต้องกันว่า อย่าว่าแต่นายอำาเภอสมัยโน้นเลย
ท่านผู้ว่าฯ สมัยนี้ก็ทำางานลำาบากหากไปถิ่นไหนที่เจ้าพ่อเข้มแข็งแล้วไม่อาจประนีประนอมกับเจ้าพ่อได้
ดังนั้น สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือสายสัมพันธ์ที่พิงกันอย่างแน่นแฟ้น
ระหว่างผู้อยู่ในอำานาจรัฐกับเจ้าพ่อ