Page 85 - kpiebook63011
P. 85
85
จากแผนภาพจะเห็นว่าจำานวนผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด 1,086,305 คน ในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562
ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลุ่มคะแนนที่เลือกพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นกลุ่ม
พันธมิตรทางการเมือง คะแนนรวมของทั้ง 2 พรรคการเมืองหากมารวมกันจะมีคะแนนมากกว่า 50% ของจำานวน
ผู้มาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากระบบการเลือกตั้งที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวนั้นทำาให้
การคำานวณคะแนนของเขตเลือกตั้งมีผลกับที่นั่งที่จะได้จากระบบบัญชีรายชื่อ แต่ในอีกด้านก็เป็นการเกลี่ยคะแนน
ของฐานคะแนนพรรคเพื่อไทยไปสู่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งความน่าสนใจของคะแนนที่ปรากฏให้เห็นนั้นไม่ใช่เงื่อนไข
ดังเช่นจังหวัดอื่น ๆ ที่เคยมีผู้สมัครจากพรรคไทยรักษาชาติ แต่เมื่อพรรคไทยรักษาชาติโดนยุบ พรรคอนาคตใหม่
จึงเป็นพรรคที่ได้เปรียบในการได้รับคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการลงคะแนนให้พรรคไทยรักษาชาติ
จังหวัดเชียงใหม่ไม่มีการเปิดตัวผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ ดังนั้น การทำางานของกลุ่มพรรคการเมืองจึงถือเป็น
ยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้ง เพื่อกันคะแนนไปให้แก่พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม คือ พรรคพลังประชารัฐ
ด้วยระบบการเลือกตั้งที่นำามาสู่จำานวนพรรคการเมืองที่มีจำานวนผู้สมัครมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้ง
ของจังหวัดเชียงใหม่ ทำาให้คะแนนทุกคะแนนมีค่าและกระจายไปยังพรรคการเมืองต่าง ๆ แม้พรรคพลังประชารัฐ
ในทางพฤตินัยจะเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลในช่วงเวลาของการจัดการเลือกตั้ง แต่สัดส่วนคะแนนที่ได้ในจังหวัด
เชียงใหม่ไม่ได้สูงมากนัก เพราะสัดส่วนคะแนนที่พรรคนี้ได้มีความใกล้เคียงกับคะแนนที่พรรคการเมืองอื่น ๆ
รวมกันได้ (ยกเว้นพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่รวมกันได้รับ) โดยเฉพาะหากดูอันดับของคะแนนในแต่ละ
เขตเลือกตั้งพบว่ามีเพียง 3 เขต ใน 9 เขตเลือกตั้ง ที่พรรคพลังประชารัฐได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 2 (เฉพาะ
การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562) การพยายามเจาะพื้นที่ฐานคะแนนพรรคเพื่อไทยของพรรคพลังประชารัฐ
นับตั้งแต่ก่อนมีการเลือกตั้งมีทั้งรูปแบบของการสร้างและดึงเครือข่ายหัวคะแนนและผู้นำาท้องถิ่นมาสนับสนุน
ผู้สมัครของพรรค มีการควบคุมกำาชับเรื่องกฎ ระเบียบในการหาเสียงเลือกตั้ง ควบคู่ไปกับประกาศและคำาสั่ง
ของ คสช. ผ่านกลไกของส่วนราชการและควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเข้มงวด
4.7 ควำมนิยมในตัวบุคคลกับตระกูลกำรเมืองในกำร
เลือกตั้ง
ตระกูลการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่และไม่ใช่เรื่องผิดปกติในสังคมการเมืองระบอบประชาธิปไตย
เพราะระบบเลือกตั้งทั่วไปไม่มีการกำาหนดสิทธิประโยชน์หรือความได้เปรียบในกลไกการแข่งขันให้กับตระกูล
หรือชื่อเสียงของบุคคล แต่การเป็นตระกูลการเมืองถือเป็นความได้เปรียบของต้นทุนในการหาเสียงที่ช่วยลดภาระ
ในการลงทุนทั้งด้านการเงินและเวลาในการแนะนำาผู้สมัครรับเลือกตั้ง อีกทั้งตอกยำ้าค่านิยมทางสังคมที่สะท้อน
การยึดถือตัวบุคคลระบบชนชั้นและความเป็นพวกพ้องกลุ่มก้อนในสังคมได้ชัดเจนมากขึ้น แม้ตระกูลการเมือง
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องผิดในสังคมแต่การเติบโตต่อเนื่องของตระกูลการเมืองในระบบการเมืองมีแนวโน้ม
นำาไปสู่การเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องหรือการเกิด “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interests)