Page 86 - kpiebook63011
P. 86
86 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่
(สติธร ธนานิธิโชติ, 2556, น.8) ตระกูลการเมืองกับการเลือกตั้งถูกผูกโยงไปกับความเติบโตของชนชั้นนำา
12
ในสังคมไทย เพราะกลุ่มชนชั้นนำา (Elite Class) ในสังคมไทยคือ กลุ่มผู้ที่มีความได้เปรียบทั้งในด้านทรัพยากร
ทางเศรษฐกิจและสังคมที่นำามาสู่โอกาสในการเข้าถึงอำานาจทางการเมืองและการแข่งขันในกระบวนการ
การเลือกตั้ง จนมาสู่การสถาปนาความคิดเรื่องตระกูลการเมือง (Political Dynasty หรือ Political Family)
ที่กลายเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำาความเข้าใจการเมืองไทย การถ่ายทอดอำานาจทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่นภายใน
ตระกูลหรือครอบครัว ทั้งนามสกุลเดียวกันหรือนามสกุลที่ผูกพันกันผ่านการแต่งงาน ต่างเป็นปรากฏการณ์ทาง
การเมืองของการเมืองไทยในรอบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ผาสุก พงษ์ไพจิตร (สำานักข่าวอิสรา, 2556) ได้ระบุ
ถึงความเชื่อมโยงของการเมืองและอำานาจในระดับชาติกับระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกันไว้ด้วยเครือข่ายญาติพี่น้อง
ในเครือตระกูลต่าง ๆ ซึ่งผาสุกเชื่อว่าความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายของตระกูลการเมืองในการเลือกตั้งนอกจาก
สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเลือกตั้งแล้ว ยังมีผลต่อการเกื้อกูลของระบบงบประมาณโครงการต่าง ๆ ที่ทำาให้
งบรัฐบาลจัดสรรลงสู่ท้องถิ่นผ่านระบบสายสัมพันธ์นี้ ซึ่งยิ่งทำาให้อำานาจและความมั่งคั่งของตระกูลการเมือง
มีมากขึ้น
ตระกูลการเมืองยังเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์อย่างแนบแน่น ระบบ
ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมสร้างระบบชนชั้นทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะตระกูลการเมืองที่มีทุนทาง
การเมืองและเศรษฐกิจจนมีบทบาทและสถานภาพในโครงสร้างชนชั้นส่วนบนของจังหวัด การสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์
ผ่านเครือข่ายหัวคะแนน ผู้นำาชุมชน และผู้รับการอุปถัมภ์กระทำาผ่านความสัมพันธ์กับกลุ่มตระกูลการเมือง
ในงานของ กนก วงษ์ตระหง่าน มีการเชื่อมโยงประเด็นความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ที่ผู้อุปถัมภ์กับผู้ใต้อุปถัมภ์
มีอำานาจและทรัพยากรไม่เท่ากัน ผู้ใต้อุปถัมภ์จึงต้องพึ่งพาผู้อุปถัมภ์ ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้สอดคล้องกับ
วัฒนธรรมการยึดติดตัวบุคคล (Personalism) ของสังคมไทย (กนก วงษ์ตระหง่าน, 2528, น.336) ตระกูลการเมือง
จึงเป็นปัจจัยทางการเมืองในการเลือกตั้งที่มีพลังต่อการสร้างเครือข่ายและนำามาสู่การชนะการเลือกตั้งได้
ในขณะที่พรรคการเมืองที่มีฐานของตระกูลการเมืองเป็นฐานคะแนนเสียงจะสามารถคาดการณ์แนวโน้ม
การชนะการเลือกตั้งในระดับเขตเลือกตั้งได้จากเครือข่ายการเมืองของคนในตระกูล ซึ่งมองได้ว่าพรรคการเมือง
เองเห็นถึงความได้เปรียบในเชิงทรัพยากร ทุน และอำานาจจากตระกูลการเมืองในระดับพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ อยู่
อีกด้านหนึ่งตระกูลการเมืองถูกมองในเชิงกลยุทธ์การแข่งขันของพรรคการเมืองมากกว่าการตอบโจทย์ด้าน
ความหลากหลายหรือความต้องการของประชาชน การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งของตระกูลการเมืองที่มีผู้สมัคร
นามสกุลเดียวกันหรือเป็นเครือญาติกัน แท้จริงแล้วช่วยลดภาระให้พรรคการเมืองในการสนับสนุนทั้งในด้าน
การเงินหรือการรณรงค์หาเสียง เพราะความเป็นครอบครัวหรือความเป็นตระกูลทำาให้การแข่งขันถูกเดิมพัน
ด้วยชื่อเสียงและการรักษาทรัพยากรในพื้นที่ของตระกูลตนเองไว้ จากการศึกษาของสติธร ธนานิธิโชติ (2556,
น.11) ในการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พบว่าพรรคเพื่อไทยคือพรรคการเมืองที่มี
จำานวนตระกูลการเมืองชนะการเลือกตั้งทั้งในระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อมากที่สุด คือ 19 ตระกูล
40 คน รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 17 ตระกูล ซึ่งความเชื่อมโยงนี้ทำาให้ผู้วิจัยมองกลับมาที่จังหวัดเชียงใหม่
12 สติธร ธนานิธิโชติ ได้ให้ความหมายของตระกูลการเมืองที่ไม่ได้จำากัดอยู่เพียงการมีบุคคลในตระกูลเดียวกันมากกว่าหนึ่งคน
ได้รับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังต้องหมายถึงการได้รับการเลือกตั้งของคนในตระกูลเดียวกันใน
การเลือกตั้งหลายครั้ง ที่สำาคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การที่ตระกูลของนักการเมืองตระกูลใดจะถูกนิยามว่าเป็นตระกูลการเมือง
ที่สมบูรณ์ได้ ตระกูลนั้นจะต้องมีความสามารถในการส่งต่อความสำาเร็จในการเลือกตั้งจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นต่อไปได้ด้วย
แม้ในบางครั้งอาจจะมิใช่การส่งต่อกันโดยทันทีก็ตาม