Page 83 - kpiebook63011
P. 83

83








                          ความลักลั่นของระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม คือ ระบบนี้เป็นระบบที่ยึดหลักเสียง

                  ข้างมากที่แท้จริงหรือไม่ แม้คะแนนเสียงทุกเสียงจะถูกนับเป็นคะแนน แต่ในขณะเดียวกันการคิดคะแนนแบบ
                  สัดส่วนอาจทำาให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงในเขตมากที่สุด แต่ในการคำานวณคะแนนบัญชีรายชื่ออาจทำาให้

                  พรรคไม่มี ส.ส.จากระบบบัญชีรายชื่อเลย ดังเช่นผลการเลือกตั้งที่ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยที่ไม่มี ส.ส.ในระบบบัญชี
                  รายชื่อ ในขณะที่พรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีจำานวนเพิ่มมากขึ้นในระบบการเลือกตั้งนี้ เกิดขึ้นมา

                  เพื่อใช้ยุทธศาสตร์คะแนนเสียง เนื่องจากไม่ได้คาดหวังชัยชนะในเขต แต่คะแนนทุกคะแนนไม่ว่าจะได้ลำาดับ
                  ที่เท่าไหร่ก็จะถูกนำามาใช้คำานวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่ทำาให้พรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลาง

                  เห็นโอกาสของการได้ที่นั่งในสภา ประจักษ์ ก้องกีรติ วิพากษ์ระบบการเลือกตั้งนี้ว่าทำาให้ประชาชนเกิด
                  ความสับสน โดยเฉพาะการไม่ให้ข้อมูลแก่ประชาชนมากเพียงพอที่จะให้ทำาความเข้าใจวิธีการและความสำาคัญ

                  ของการลงคะแนนภายใต้ระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ถูกออกแบบมาที่จะส่งผลกระทบระดับโครงสร้างของ
                  พรรคการเมืองและรัฐสภา “….คะแนนไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะบัตรใบเดียวแต่คะแนน

                  กลับถูกนับสองครั้งทั้งในระบบเขตและระบบปาร์ตี้ลิสต์ และสร้างระบบที่ไม่ยุติธรรมคือยิ่งพรรคได้ที่นั่งใน
                  ระบบเขตมากขึ้นเท่าใดกลับยิ่งได้ผู้แทนในระบบปาร์ตี้ลิสต์น้อยลงตามนั้น นอกจากนี้ ยังไม่สามารถแยกแยะ

                  และสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้ว่าต้องการเลือกพรรคหรือเลือกตัวบุคคล เพราะปิดกั้นโอกาสใน
                  การใช้สิทธิอย่างเสรี บีบให้เลือกได้แค่คะแนนเดียว...” (ประชาไท, 2559) ความรู้ความเข้าใจของประชาชน

                  เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมนี้ จึงกลายเป็นประเด็นสำาคัญของข้อโต้แย้งในการเลือกตั้ง
                  ครั้งนี้ จากการสำารวจความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งศึกษาโดย สมชาย

                  ปรีชาศิลปะกุล พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร้อยละ 64 ไม่เข้าใจและไม่ทราบถึงระบบการเลือกตั้งใหม่
                  และร้อยละ 83 ไม่เข้าใจและไม่ทราบถึงจำานวน ส.ส. แต่ในขณะที่บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียวที่ทำาให้ผู้ลงคะแนน

                  เสียงเลือกตั้งต้องตัดสินใจลงคะแนนจากตัวแปร 3 ประการคือ ส.ส. ในเขตพื้นที่, พรรคการเมือง และบุคคล
                  ผู้ที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ผลการสำารวจความคิดเห็นของสมชายพบว่า นักศึกษาจำานวนถึง

                  ร้อยละ 88 ตัดสินใจลงคะแนนจากนโยบายและผลงานของพรรคที่สังกัด ในขณะที่ เพียงร้อยละ 7 ตัดสินใจ
                  ลงคะแนนจากชื่อเสียงของบุคคล และตัดสินใจลงคะแนนด้วยปัจจัยอื่น เพียงร้อยละ 5 (ประชาไทออนไลน์, 2561)


                          ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำาคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนับตั้งแต่การรัฐประหาร

                  ตั้งแต่ปี 2557 ทำาให้เกิดกระแสของการสร้างความมั่นคงของพรรคการเมืองปะทุขึ้นมา ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
                  มีปรากฏการณ์การแสดงออกในการเป็นผู้สนับสนุนพรรคของนักศึกษาและชนชั้นกลางในจังหวัดเชียงใหม่

                  อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวทางการเมืองในการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง และการจัดเวทีของพรรคการเมือง
                  ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเกิดขึ้นหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

                  กรณีการไม่เปิดเผยคือ การมีแกนนำาพรรคการเมืองจัดระดมความคิดเห็นกับประชาชนจากเครือข่ายหรือ
                  กลุ่มการเมืองท้องถิ่น เพื่อกำาหนดยุทธศาสตร์หาเสียงและวางเครือข่ายผู้สนับสนุนพรรคการเมือง นักศึกษา

                  คนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มหนึ่งที่มักถูกเชิญไปเข้าร่วมการระดมความคิดเห็นในแบบไม่เปิดเผยนี้
   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88