Page 55 - kpiebook63006
P. 55

55








                  จากพรรคนั้น เพราะคุณสมบัติด้อยจนรับไม่ได้ หันไปเลือกส.ส.เขตที่มีคุณภาพดีกว่าของพรรคอื่น

                  ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมจะทำาลายโอกาส ที่ประชาชนจะใช้สิทธิแบบมีวิจารณญาณแบบนี้
                  ลงไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่าจำาใจต้องเลือกผู้แทนเขตที่ด้อยคุณภาพ เพราะกลัวว่าพรรคที่ตนชอบ

                  จะเสียคะแนน (เพราะคะแนนผูกกัน) จะยิ่งทำาให้ส.ส.ด้อยคุณภาพเข้าสภามากขึ้น สวนทางเป้าหมายที่
                  ผู้ร่างต้องการ


                          สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2561: 204-207) เห็นว่า เมื่อพิจารณาตรรกะหรือความสมเหตุสมผล

                  เจตนารมณ์ และผลกระทบที่ตามมาจะพบว่า

                          1.   ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมอาจส่งผลให้ผลเลือกตั้งบิดเบือน และเบี่ยงเบน

                  เจตนารมณ์ของผู้เลือกตั้ง การให้ผู้ออกเสียงมีบัตรลงคะแนนเพียงใบเดียวเพื่อเลือกผู้สมัครระบบเขต

                  แล้วนำาคะแนนผู้สมัครระบบเขตไปคิดเป็นที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อพรรค ตั้งอยู่บนตรรกะในการจัดสรร
                  ที่นั่งที่ผิดเพี้ยน เพราะในความเป็นจริงผู้สมัครระบบเขตได้รับเลือกตั้งมาโดยคุณสมบัติส่วนบุคคลและ
                  ฐานเสียงของตน หรือหากจะมีนโยบายก็เป็นนโยบายของตนในพื้นที่ ไม่ได้เสนอนโยบายภาพรวมระดับ

                  ประเทศ ที่สำาคัญผู้ใช้สิทธิที่เลือกผู้สมัครในระบบเขตอาจไม่ได้ชอบพรรคที่ผู้สมัครคนนั้นสังกัด ขณะที่

                  ผู้ออกเสียงที่ชอบพรรคกลับไม่มีโอกาสเลือกพรรคการเมือง

                          2.   เอื้อให้เกิดโครงสร้างการแข่งขันที่เน้นตัวบุคคลมากกว่าการส่งเสริมพรรคการเมืองให้

                  พัฒนาไปสู่การเป็นสถาบัน เมื่อไม่ให้ผู้ออกเสียงเลือกพรรคการเมือง แต่ให้เอาคะแนนผู้สมัครระบบเขต
                  ไปนับเป็นคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ ยุทธศาสตร์ที่พรรคจะใช้คือ การเฟ้นหาตัวบุคคลที่มีฐานเสียงอยู่แล้ว

                  หรือเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเป็นผู้สมัครในระบบเขต ฉะนั้น จึงทำานายได้ว่า การกว้านซื้อตัวผู้สมัคร
                  จะเข้มข้นขึ้น การซื้อเสียงจะสูงขึ้น กลุ่มอิทธิพลในท้องที่ เจ้าพ่อ เจ้าแม่จะกลับมา มีโอกาสที่จะใช้

                  ความรุนแรงทางการเมืองสูงและนโยบายพรรคจะลดความสำาคัญลง


                          3.   ไม่เอื้อต่อการสร้างระบบความรับผิดชอบ (accountability) ระหว่างผู้เลือกตั้งกับตัวแทน
                  ที่ได้รับการเลือกตั้ง และลดทอนศักยภาพในการแข่งขันของพรรคการเมืองขนาดเล็กในการแข่งขันระบบ

                  เขตที่ในแต่ละเขตมีผู้ชนะเพียงคนเดียว ผู้สมัครของพรรคขนาดเล็กมีโอกาสน้อยมากที่จะชนะเลือกตั้ง
                  เพราะผู้ลงคะแนนมีแนวโน้มตัดสินใจเลือกระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 หรือ 3 พรรคเท่านั้น แต่เพื่อ

                  ให้ได้ที่นั่งมากที่สุด พรรคการเมืองใหญ่น้อยต้องพยายามสรรหาผู้สมัครในระบบเขตให้ได้มากที่สุด
                  เพื่อรวบรวมเป็นคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ ผลก็คือไม่ได้เป็นการเลือกผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อโดยตรง

                  แต่เป็นการเลือกผู้สมัครบัญชีรายชื่อผ่านผู้สมัครในระบบเขต ส่งผลให้สายโซ่ของการที่ตัวแทนที่ได้รับเลือก
                  ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เลือกตั้งแหว่งวิ่นไป


                          4.  เป็นระบบเลือกตั้งที่ให้โบนัสแก่พรรคที่แพ้ในระบบเขต ซึ่งจะทำาให้พรรคขนาดกลางที่ไม่ชนะ

                  ในการเลือกตั้งระบบเขตมีโอกาสได้ที่นั่งสูงขึ้น จากคะแนนที่นำามารวมกันจัดสรรให้เป็นที่นั่งในระบบ
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60