Page 130 - kpiebook62008
P. 130
๙๙
๔) ให้เพิ่มภาษี เนื่องจากได้พิจารณาประเด็นการประเมินและข้อโต้แย้งของผู้อุทธรณ์แล้วปรากฏว่าการ
ประเมินถูกต้อง แต่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีคลาดเคลื่อนต่ำไป คณะกรรมการฯ อาจปรับปรุงการคำนวณ
ภาษีและมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์เสียภาษีเพิ่มขึ้นได้
๑๙๐. การทุเลาการเสียภาษี ทั้งนี้ การอุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากร ดังนั้น ถ้าผู้เสียภาษีไม่ชำระภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมาย
กำหนด กล่าวคือ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินตามมาตรา ๑๘ ตรี ให้ถือเป็นภาษีอากรค้างตาม
มาตรา ๑๒ ซึ่งจะส่งผลให้อาจถูกสั่งยึดหรืออายัดหรือขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้อุทธรณ์เพื่อนำมาชำระค่าภาษี
อากรที่ค้างได้ โดยอธิบดีกรมสรรพากร ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอผู้มีอำนาจมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึด
หรือสั่งแต่อย่างใด เว้นแต่กรณีที่ผู้อุทธรณ์จะขอทุเลาการเสียภาษีอากรต่ออธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งเป็นดุลพินิจของ
อธิบดีกรมสรรพากรที่จะอนุมัติหรือไม่ก็ได้ในกรณีที่พิจารณาแล้วว่ามีเหตุผลและความจำเป็นหรือไม่ อย่างไร
๑๕๐
นอกจากนี้ ประมวลรัษฎากรยังมิได้กำหนดระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์เอาไว้เป็นการเฉพาะ จึงมีประเด็นที่ต้อง
พิจารณาว่าจะใช้กำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือไม่
๑๙๑. ผลของการอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ยังคงไม่เห็นด้วยในคำวินิจฉัยของ
คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ กล่าวคือ ฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรกลางในประเด็น
เดียวกับที่ได้โต้แย้งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานไว้ได้ รวมทั้งสามารถอ้างเหตุอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่
เคยยกขึ้นอุทธรณ์ไว้ได้ ภายในกำหนดเวลา ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์
๑๕๑
๓.๕.๓.๒ การให้สิทธิฟ้องร้องต่อศาล
๑๙๒. ประเภทของคดีที่อาจฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรกลางได้ การเสนอคดีภาษีอากรขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลาง
จะต้องเป็นกรณีดังที่ระบุไว้ในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งได้แก่
๑๕๐ มาตรา ๓๑ แห่งประมวลรัษฎากร
๑๕๑ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๓๒/๒๕๓๑ และที่ ๓๙๒๓/๒๕๓๑