Page 87 - kpiebook62006
P. 87
82
ครอบง าสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติได้ โดยมีเครื่องมือส าคัญที่ใช้ในการครอบง าสภา คือพรรคการเมืองที่
นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค และให้สภาที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติออกกฏหมายให้อ านาจแก่ตนเองจนสามารถ
สถาปนาระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้นมาในที่สุด ประการที่สอง ประเทศเยอรมนีเปลี่ยนแปลงการปกครองมา
จากระบอบไกเซอร์ (แปลว่า จักรพรรดิ) มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยที่ไม่ได้สร้างพลเมือง ฮิตเลอร์ที่มาจาก
การเลือกตั้ง จึงกลายเป็นผู้ปกครองที่มาแทนที่ไกเซอร์ โดยสังคมเยอรมนียังเป็นสังคมแบบแนวดิ่งแบบอ านาจ
นิยมเหมือนในสมัยไกเซอร์ ชาวเยอรมนีจึงยอมรับอ านาจของฮิตเลอร์ และเชื่อฟังฮิตเลอร์ จนน าประเทศไปสู่
2
ความหายนะในที่สุด
ผู้น าและนักวิชาการของเยอรมนีตะวันตกจึงได้ใช้บทเรียนในสมัยฮิตเลอร์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ
ใหม่ขึ้นมา โดยตัดสินใจที่จะใช้ระบบรัฐสภาต่อไป แต่ได้แก้ไขจุดอ่อนของระบบรัฐสภาที่เคยมี โดยการท าให้
ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นอิสระจากรัฐบาล ด้วยการไม่บังคับ ส.ส. ให้สังกัดพรรค แต่ประกันเสรีภาพให้กับ ส.ส.ในการ
ท าหน้าที่ผู้แทนปวงชน และการสร้างหลักประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง ท าให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถ
ตรวจสอบถ่วงดุลกับรัฐบาลได้ ไม่ถูกรัฐบาลใช้ครอบง าอีกต่อไป ซึ่งประเทศเยอรมนีตะวันตกท าได้ส าเร็จ และ
รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้ในพ.ศ.2492 และท าให้ประเทศเยอรมนีไม่เกิดเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งอีกเลย
พร้อมกับมีระบบรัฐสภาที่มีทั้งศักยภาพและประสิทธิภาพจนกระทั่งทุกวันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ชื่อ Grundgesetz
แปลว่า กฎหมายพื้นฐาน เพราะเดิมผู้ร่างรัฐธรรมนูญของเยอรมนีตะวันตกตั้งใจจะใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่า
ประเทศเยอรมนีจะรวมกันได้อีกครั้งเท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่ประเทศเยอรมนีกลับมารวมกันอีกครั้งจริง ๆ ใน
พ.ศ.2533 ประเทศเยอรมนีตัดสินใจใช้กฎหมายพื้นฐานฉบับนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งพร้อมกับการจัดท า
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประเทศเยอรมนีตะวันตกได้ด าเนินการให้มีการศึกษาความเป็นพลเมืองเพื่อเปลี่ยน
ประชาชนเยอรมนีมาเป็นพลเมือง โดยปฏิรูประบบการศึกษาให้เป็นการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง เพื่อสร้าง
3
คนรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองของประเทศ
การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองให้มีส่วนร่วมและรับผิดชอบกับอนาคตของประเทศเยอรมนี
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงริเริ่มจากผู้น าทางการเมืองและประชาชนที่ได้รับชะตากรรมเดียวกันมาอย่าง
แสนสาหัส กล่าวคือ ไม่มีบรรยากาศประชาธิปไตย ก็ไม่อาจให้ความรู้ทางการเมืองแก่พลเมืองได้อย่างมี
ชีวิตชีวา ประชาธิปไตยจะส าเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการให้การศึกษาทางการเมืองแก่พลเมืองที่ท าให้พวกเขาใช้ชีวิต
และยอมรับวิธีการประชาธิปไตยเป็นพันธกิจที่ถาวร และไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองหรือการ
2 เรื่องเดียวกัน, หน้า 56-57.
3 เรื่องเดียวกัน, หน้า 57-58.