Page 56 - เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ ครั้งที่ 23
P. 56
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 23
ประชาธิปไตยในภูมิทัศน์ใหม่
ฝ่ายอนุรักษนิยมที่พึ่งพาการสร้างตัวเองด้วยการเลือกตั้งไม่ได้ การได้อำนาจยังคงต้องอาศัย
พลังของเสนานิยม ปีกอนุรักษนิยมไทยยังก้าวสู่ความเป็นฝ่ายขาวที่ทันสมัยในโลกปัจจุบันไม่ได้
ดังเช่นที่ปีกขวายุโรป-อเมริกามีลักษณะเป็นประชานิยมปีกขวา และขึ้นสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง
กล่าวคือฝ่ายขวาในการเมืองตะวันตกสามารถใช้การต่อสู้ทางรัฐสภาเป็นเครื่องมือได้
แต่อนุรักษนิยมไทยยังคงเป็นขวาเก่าที่พึ่งพิงอยู่กับอำนาจของเสนานิยมเช่นที่เห็นมาตั้ง
รัฐประหาร 2490 ดังนั้น เมื่อพวกเขาไม่สามารถเอาชนะด้วยกระบวนการทางรัฐสภา
ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยมักต้องอาศัยกองทัพเป็นเครื่องมือของการได้อำนาจ ขณะเดียวกันก็ใช้
รัฐประหารเป็นกลไกทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
9) ในเงื่อนไขของโครงสร้างอำนาจที่กองทัพเป็นแกนกลางของฝ่ายขวาในการเมืองไทย
หรือในอีกมุมหนึ่ง กองทัพไทยคือองค์กรที่เป็นฝ่ายขาวในตัวเอง กองทัพไทยไม่ใช่ตัวแทนของ
ชนชั้นกลางในแบบทฤษฎีของละตินอเมริกา และกองทัพไทยก็ไม่ใช่ตัวแทนของทุกชนชั้น
เช่นในรัฐอาณานิคมที่กองทัพมีบทบาทนำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติ กองทัพไทยในบริบท
เช่นนี้จึงแทบไม่เคยแสดงบทบาทที่ก้าวหน้าได้ นอกจากนี้จะเห็นได้จากบริบทของการเมืองไทยว่า
กองทัพเป็นองค์กรที่เข้มแข็งที่สุดของฝ่ายขวา เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ลัทธิ
อำนาจนิยม (Transition to Authoritarianism) และเป็นพลังพื้นฐานในกระบวนการสร้าง
ระบอบอำนาจนิยม
10) การที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยต้องยึดโยงอยู่กับฝ่ายเสนานิยม ส่งผลให้ฝ่ายขวาไทย
พัฒนาตัวเองไม่ได้ และไม่มีพลังในการขับเคลื่อนสังคมทั้งในมติการเมืองและเศรษฐกิจ และ
ยิ่งในหลายปีที่ผ่านมา แรงกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้พลังเสรีนิยมเข้มแข็งขึ้น
เท่าๆ กับที่พลังอนุรักษนิยมไทยอ่อนแรงลง มิใยต้องกล่าวถึงพลังของเสนานิยม ที่มีทิศทางของ
ความพ่ายแพ้ใหญ่ในละตินอเมริกาตั้งแต่ทศวรรษของปี 2523 แล้ว ไม่อยู่ในสถานะที่เป็น
ทางเลือกในทางการเมืองแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ถึงการเกิดความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่าน
ทางการเมืองครั้งสำคัญของโลกในละตินอเมริกา ประกอบกับในหลายปีของการเมืองไทย
ที่ฝ่ายขวาขาดการพัฒนาทางการเมือง ขวาไทยจึงแทบไม่ประสบชัยชนะในสนามการเลือกตั้งเลย
ต่างกับฝ่ายขวาในการเมืองยุโรปปัจจุบันอย่างมาก ที่เดินหน้าต่อสู้ในสนามการเลือกตั้งเป็น
ทิศทางหลัก และพยายามที่จะสร้างทิศทางทางการเมืองของตนเองเพื่อเป็นพลังในการแข่งขัน
กับลัทธิเสรีนิยมที่เป็นแกนกลางของกระแสโลกาภิวัตน์
11) แม้รัฐประหาร 2549 และ 2557 จะเป็นตัวแทนที่ชัดเจนของชัยชนะของฝ่าย การแสดงปาฐกถานำ
อนุรักษนิยม ที่สนธิกำลังกับฝ่ายเสนานิยม จนสามารถโค่นล้มฝ่ายเสรีนิยมได้ตามต้องการ
แต่ในอีกด้านรัฐประหารคือภาพสะท้อนของความพ่ายแพ้ของฝ่ายขวา ซึ่งฝ่ายดังกล่าว
ไม่สามารถที่จะเอาชนะต่อการแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้
ดังจะเห็นถึงการแพ้ในการเลือกตั้งในปี 2550 และ 2554 อันส่งผลให้คำตอบในอนาคต
จึงเหลือประการเดียว คือจะต้องออกแบบ “สถาปัตยกรรมทางการเมือง” ที่จะต้องทำให้รัฐบาล