Page 53 - เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ ครั้งที่ 23
P. 53
2 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 23
ประชาธิปไตยในภูมิทัศน์ใหม่
กล่าวนำ
ประชาธิปไตยเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายมาทุกยุคทุกสมัย จนอาจ
กล่าวได้ว่าไม่มียุคใดที่ประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการแข่งขันจากอุดมการณ์
ทางการเมืองของลัทธิอนุรักษนิยมของกลุ่มการเมืองปีกขวา บางทีเราอาจจะต้องยอมรับว่า
การแข่งขันของสองอุดมการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติทางธรรมชาติ ซึ่งสำหรับในระดับของ
เวทีการเมืองโลกแล้ว การแข่งขันดังกล่าวปรากฏให้เห็นจากความท้าทายของลัทธิประชานิยม
(Populism) ที่เกิดมาตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และสำหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นั้น
ฝ่ายขวามีลักษณะที่เป็น “ประชานิยมปีกขวา” (Right-Wing Populism) จนอาจกล่าวได้ว่า
ในยุคเช่นนี้ไม่มีใครมีฐานะเป็นผู้ท้าทายประชาธิปไตยได้มากกว่าอดีตผู้นำสหรัฐอเมริกาคือ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
การขึ้นสู่อำนาจที่ทำเนียบขาวของทรัมป์ด้วยชัยชนะจากการเลือกตั้งในปลายปี 2559
กลายเป็นข้อเรียกร้องให้ฝ่ายเสรีนิยมต้องทบทวนเรื่องประชาธิปไตยกันใหม่ แม้ว่าในที่สุดแล้ว
เขาจะพ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งในปลายปี 2563 แต่ก็มิใช่คำตอบว่า มรดกทางการเมืองของ
ลัทธิประชานิยมปีกขวาจะจบตามไปกับความพ่ายแพ้ของทรัมป์ แต่เรากลับเห็นแนวคิด
ในลักษณะเช่นนี้ขยายตัวอยู่ในหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย
ในขณะที่ฝ่ายขวาในเวทีโลกก่อตัวในแบบที่เป็นประชานิยม เช่นในตัวแบบของทรัมป์
อันเป็นความท้าทายอย่างสำคัญต่อประชาธิปไตยตะวันตก ประชาธิปไตยไทยก็เผชิญกับ
ความท้าทายเช่นเดียวกัน หากแต่ด้วยบริบทของการเมืองแบบประเทศ “โลกที่สาม” นั้น
ความท้าทายยังคงเป็นเรื่องเก่าคือ การต่อสู้ระหว่าง “ทหาร vs พลเรือน” และการต่อสู้เช่นนี้
มักจะลงเอยด้วยการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง จนการยึดอำนาจ
ของทหารกลายเป็นคุณลักษณะเด่นของการเมืองไทย แม้การเมืองจะก้าวเข้าสู่โลกของศตวรรษ
ที่ 21 การแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพไทยยังดำรงอยู่เป็นปรากฏการณ์ปกติ ซึ่งอาจจะ
ไม่แตกต่างจากการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ที่ผู้นำกองทัพสถาปนาตนเองเป็น
“ผู้พิทักษ์แห่งชาติ” (National Guardian) หรือโดยนัยคือ “ผู้นำทหารเท่านั้นคือผู้ปกครอง
ประเทศ”
การแสดงปาฐกถานำ ดังต่อไปนี้
ด้วยสภาวะเช่นนี้ ทำให้เราอาจตั้งข้อสังเกตกับ “ภูมิทัศน์ของประชาธิปไตยไทย” ได้
สองแนวทาง-สองอุดมการณ์
1) ถ้าเราต้องการมองไปสู่อนาคต เราคงต้องยอมถอยหลังกลับมาใคร่ครวญกับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เท่าๆ กับที่ต้องย้อนพินิจอดีตของการเมืองไทยคู่ขนานกันไป
เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความคลี่คลายในบริบทของประวัติศาสตร์การเมือง ดังจะเห็นได้ว่า