Page 90 - 23154_Fulltext
P. 90

85


                       ส าหรับส่วนของสภาผู้แทนราษฎร มีที่มาตามมาตรา 54 จากการเลือกตั้งทางตรงและโดยลับ มีวาระด ารง

               ต าแหน่งคราวละ 5 ปี จ านวนสมาชิกต้องได้สัดส่วนทั้งระดับชาติและมีตัวแทนคนกลุ่มน้อย โดยจ านวนทั้งหมดของ
               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะไม่เกิน 550 คน และมีตัวแทนสัดส่วนชนกลุ่มน้อยขั้นต่ า 20 ที่นั่ง โดยที่การนับคะแนน
               เสียงในแต่ละมติจะใช้เกณฑ์เสียงข้างมากตัดสิน

                       บทบาทด้านนิติบัญญัติของจะถูกก ากับขอบเขตประเด็นทางกฎหมายที่สามารถเสนอร่างกฎหมายให้อยู่
               ภายใต้ขอบเขตของมาตรา 55 อันมี 19 ข้อย่อยว่าด้วยขอบเขตอ านาจนิติบัญญัติ ตัวอย่างเช่น การจัดสรรที่ดินและ

               ทรัพยากรธรรมชาติ การขนส่ง การจัดองค์กรด้านความมั่นคง กฎหมายแรงงาน หรือกฎหมายการพาณิชย์ เป็นต้น
               ทั้งนี้ เมื่อสภาผ่ากฎหมายฉบับใดเรียบร้อยแล้ว ตามมาตรา 57 ให้ส่งกฎหมายฉบับดังกล่าวให้ประธานาธิบดีลง

               ลายมือชื่อภายใน 15 วัน หากไม่มีการลงชื่อภายในระยะเวลาที่ก าหนดถือว่ากฎหมายมีผลบังคับใช้
                       ในอีกมุมหนึ่ง ประธานาธิบดีไม่สามารถคานอ านาจนิติบัญญัติของสภานิติบัญญัติ เนื่องจากอ านาจที่จะใช้

               คานอ านาจในความสัมพันธ์เชิงอ านาจต่อระบบรัฐสภาอย่างการยุบสภาถือเป็นอ านาจของนายกรัฐมนตรี ดังมาตรา
               60 ที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ขอยุบสภาภายใต้ความยินยอมของสภา นอกจากนั้นหากที่มาของประธานาธิบดี ยัง

               พบว่า ตามมาตรา 70 สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอชื่อ และเลือกประธานาธิบดีผ่านเสียงเห็นชอบของสภา
               ผู้แทนราษฎรและสภาแห่งสหพันธ์ด้วยเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาขึ้นไป

                       นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีก็มาจากการเลือกจากภายในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 72
               เช่นเดียวกับคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเสนอชื่อของสภาผู้แทนราษฎรโดยนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่รับรอง
               คณะรัฐมนตรีที่มาจากการเสนอชื่อชุดดังกล่าวตามมาตรา 74 ซึ่งในมาตรานี้ได้ก าหนดขอบเขตอ านาจหน้าที่ของ

               นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมาย นโยบาย หรือทิศทางการบริหารตามที่สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้
               เสนอ หรือการเสนอชื่อประธานและรองประธานศาลสูงสุดโดยนายกรัฐมนตรีเองก็ต้องส่งชื่อให้สภาผู้แทนราษฎร

               แสดงความยินยอมกลับมา เป็นต้น ความสัมพันธ์เชิงอ านาจของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นฝ่ายที่อยู่ใต้การควบคุมของ
               สภาผู้แทนราษฎร

                       ในส่วนของสภาแห่งสหพันธ์ มีวาระด ารงต าแหน่งคราวละ 5 ปี และมีที่มาตามมาตรา 61 ดังนี้
                              “มาตรา 61 (1) สภาแห่งสหพันธ์ประกอบด้วยตัวแทนที่สะท้อนความเป็นชาติ ชาติพันธุ์ และ

                       ประชาชน
                              มาตรา 61 (2) สภาแห่งสหพันธ์จะประกอบด้วยตัวแทนอย่างน้อย 1 คนที่เป็นตัวแทนแต่ละชาติ

                       พันธุ์ โดยสัดส่วนของตัวแทนจากแต่ละกลุ่มจะเพิ่มขึ้น 1 คนต่อทุก 1 ล้านประชากรจากกลุ่มอัตลักษณ์นั้น
                              มาตรา 61 (3) สมาชิกสภาแห่งสหพันธ์มาจากการเลือกตั้งจากสภามลรัฐ โดยสภามลรัฐจะ

                       เลือกตั้งเองหรือให้สิทธิประชาชนเลือกตั้งโดยตรงเองก็ได้”
                       ขณะที่อ านาจและหน้าที่ของสภาแห่งสหพันธ์ตามมาตรา 62 จะเป็นบทบาทในการตีความรัฐธรรมนูญ

               รวมถึงเป็นผู้ตั้งสภาพิจารณารัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของความเป็นชาติและการตัดสินชะตาทาง
               การเมืองด้วยตัวประชาชนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หน้าที่ของสภาแห่งสหพันธ์จึงเป็นบทบาทประนีประนอมทั้ง
   85   86   87   88   89   90   91   92   93   94   95