Page 56 - kpi22228
P. 56

48



               การใชอํานาจหนาที่ในการเรียกคะแนนจากประชาชน การขับเคี่ยวกันของกลุมฝายตาง ๆ ที่ใชวิธีการใสราย

               ปายสีทางการเมืองเพื่อแยงชิงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ไปจนถึงการใชทั้งอํานาจและอิทธิพลทางการเมืองใน
               ยุคของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต เหลานี้ลวนเปนภาพสะทอนของประวัติศาสตรการเลือกตั้งของไทยใน

               ยุคแรกเริ่มที่ทําใหเห็นวานักการเมืองยังไมรูจักวิธีการแขงขันดวยกลยุทธการตลาดการเมืองอยางเปนระบบเชน

               ในปจจุบัน
                       อยางไรก็ดี หากไมนับรวมการเลือกตั้งซอม 5 จังหวัดที่ถูกจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2501 การเลือกตั้งที่

               เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 นับวาเปนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดทายกอนที่การเมืองไทยจะตกอยูใน

               ระบอบการปกครองแบบเผด็จการอํานาจนิยมอันยาวนานของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชตที่รัฐประหารครั้งที่สอง
               เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 12 ป ประชาชนจึงไดเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 10 กุมภาพันธ

               2512


                       3.1.3 การเลือกตั้งในยุคเผด็จการทหาร

                       การเมืองหลัง พ.ศ. 2500 และกติกาตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ทําให

               การเมืองไทยอยูภายใตระบอบที่จอมพล สฤษดิ์ เรียกวาเปน “ระบอบปฏิวัติ” มีลักษณะเปนการเมืองแบบ
               เผด็จการเบ็ดเสร็จ กลาวคือเปนระบอบการปกครองที่ฝายนิติบัญญัติมาจากการแตงตั้งทั้งหมด เรียกวา

               “สภารางรัฐธรรมนูญ” ที่ทําหนาที่รางรัฐธรรมนูญและทําหนาที่สภานิติบัญญัติไปดวย แมวาสภานี้จะมีหนาที่

               รางรัฐธรรมนูญฉบับใหมแตจอมพลสฤษดิ์ไดสําทับไววา “ไมตองรางใหเสร็จเร็วนัก” (สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
               2551, 94) ดังจะเห็นไดจากการเรียกประชุมเพื่อรางรัฐธรรมนูญฉบับใหมครั้งแรกเมื่อ 30 มีนาคม 2504

               เปนเวลา 2 ป ตอมา

                       นอกจากนี้ในระบอบปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ยังไดยกเลิกการเลือกตั้งในทุกระดับ โดยในระดับ
               ทองถิ่นใหอํานาจผูวาราชการจังหวัดแตงตั้งผูบริหารเทศบาลและสุขาภิบาลทั้งหมด รัฐบาลยังออกกฎหมาย

               ลมเลิกระบบเดิมคณะสงฆ แลวใชระบบมหาเถรสมาคมที่มีสังฆราชเปนประธาน สะทอนใหเห็นการรวมศูนย

               อํานาจเขาสูศูนยกลาง
                       เมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชตเสียชีวิตในวันที่ 8 ธันวาคม 2506 จอมพล ถนอม กิตติขจร เขารับ

               ตําแหนงนายกรัฐมนตรีคนใหมพรอมสัญญาวาจะเรงรางรัฐธรรมนูญใหแลวเสร็จและผอนคลายบรรยากาศทาง

               การเมืองดวยการปลอยนักโทษการเมืองสมัยจอมพลสฤษดิ์ออกจากคุกทั้งหมด แตรัฐบาลยังคงถูกวิจารณวา
               เปนรางรัฐธรรมนูญชาที่สุดในโลก

                       ในที่สุดสภารางรัฐธรรมนูญไดรางแลวเสร็จและผานวาระสามในวันที่ 10 กุมภาพันธ 2511 แตรัฐบาล

               ชะลอการประกาศใช จนพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดํารัสในโอกาสทรงดนตรี
               ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตรในเดือนมีนาคม 2511 วา “ถาสงขึ้นมาเมื่อใดก็จะลงนามทันที” (สุธาชัย

               ยิ้มประเสริฐ 2551, 106) ทายที่สุดรัฐบาลจอมพลถนอมจึงตัดสินใจถวายใหกษัตริยลงพระปรมาภิไธยและ

               ประกาศใชเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2511 รวมใชเวลารางและกระบวนการตาง ๆ 9 ป 4 เดือน
   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61