Page 302 - kpi21190
P. 302
302
ประการที่ห้า การขาดเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) นับเป็นปัจจัยที่สำคัญ
มากต่อนโยบายการกระจายอำนาจ เนื่องจากการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นจำเป็นต้องทำให้
ภารกิจและอำนาจการตัดสินใจบางส่วนที่อยู่ที่รัฐส่วนกลางถูกถ่ายโอนไปให้องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นและหรือชุมชนมากขึ้นซึ่งต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองของผู้นำประเทศที่ชัดเจน
และจริงจังในการผลักดันนโยบายการกระจายอำนาจ ซึ่งการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นในหลาย
ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นสมัยรัฐบาลนายโคะอิซิมิ (ปี 2546-2549) ฟิลิปปินส์สมัยรัฐบาล
นางอาคีโน (ปี 2529-2535) มีการผลักดันนโยบายกระจายอำนาจจนประสบความสำเร็จ
ที่เป็นรากฐานมาถึงทุกวันนี้ เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว กล่าวได้ว่า ยังไม่มีผู้นำ
ประเทศคนใดมีเจตจำนงทางการเมืองในการผลักดันนโยบายกระจายอำนาจเลยทำให้
การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นตกอยู่ในวังวนของอำนาจการเมืองการบริหารที่เน้นการรวม
ศูนย์อำนาจไว้ที่นักการเมืองและข้าราชการประจำอยู่
สำหรับประเทศไทยแล้ว ยังกล่าวได้ว่า เป็นประเทศหนึ่งที่มีการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง
อยู่มาก แม้ว่าเวลาได้ผ่านการเป็นประชาธิปไตยมากว่าแปดสิบปีเศษแล้วก็ตาม แต่ก็จะพบว่า
เวลาดังกล่าวนี้เกือบครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริงหรือเป็น
รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทำให้การกระจายอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นหรือมีอยู่น้อยมาก
ในสาระสำคัญ แต่ที่น่าผิดหวังมากก็คือ แม้แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเองก็ตามก็ยัง
ขาดเจตจำนงทางการเมืองในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ดังจะเห็นได้ว่า หลังจาก
มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งมีบทบัญญัติให้รัฐต้องกระจาย
อำนาจให้ท้องถิ่นได้ปกครองตนเองก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีรัฐบาลใดที่แสดงถึง
เจตจำนงทางการเมืองในการผลักดันให้มีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางลงสู่ท้องถิ่น รูปธรรม
ของเรื่องนี้พิจารณาได้จากการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษา และภารกิจด้านสาธารณสุข
ซึ่งประสบปัญหาอุปสรรคและการต่อต้านจากข้าราชการและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจาก
การถ่ายโอนภารกิจดังกล่าว แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถจะดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในแผน
กำหนดขั้นตอนและการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ราบรื่น รวมถึงการที่
กฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ.2542 กำหนดให้มีการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่น้อยกว่าร้อยละ
20 ภายในปี 2544 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ภายในปี 2549 แต่เมื่อถึงปี 2549 รัฐบาล
ไม่สามารถทำได้ตามที่กฎหมายกำหนด รัฐบาลจึงเสนอให้แก้ไขกฎหมายใหม่โดยไม่มี
การกำหนดเวลาที่แน่นอนว่า จะถึงร้อยละ 35 เมื่อใด
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 5 ในพื้นที่จึงเป็นเรื่องยากมากตราบใดที่ยังไม่มีรัฐบาลใดที่มีเจตจำนงทางการเมือง (Political Will)
ดังนั้น หากจะใช้การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นเพื่อเป็นกลไกสำหรับการลดความเหลื่อมล้ำ
ที่จริงจังในการกระจายอำนาจรวมถึงนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่ส่วนมากมีฐานะ
ทางเศรษฐกิจที่ดีถึงดีมากจะหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังในการผ่านกฎหมายเพื่อลด
ความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างเป็นรูปธรรม