Page 50 - kpi19903
P. 50

24



               ประชาชนเป็นคนที่มีระดับการศึกษาต่ า ส่วนคนที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะไม่นิยมพรรคพลังประชาชน
               และคนที่มีระดับการศึกษาสูงจะมีแนวโน้มที่จะมีความคิดจะไม่เลือกพรรคพลังประชาชน (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว

               , 2556a)

                       นอกจากนี้ ประชาชนที่มีการศึกษาสูงโดยเฉพาะระดับอุดมศึกษาขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ไม่คิดจะเลือก
               พรรคชาติไทยด้วยเช่นกัน (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a) เช่นเดียวกับการศึกษาปัจจัยส าคัญต่อการตัดสินใจ

               เลือกพรรคการเมือง และผู้สมัครในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 แสดงให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมเป็น

               ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลเกิดความแตกต่างกันในทางการเมือง โดยที่ประชาชนที่มีการศึกษาน้อยจะเลือกพรรคเพื่อ
               ไทย (ถวิลวดี บุรีกุล, 2554a) และสอดคล้องกับมูลนิธิเอเชียในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ได้ส ารวจข้อมูลจาก

               ผู้เข้าร่วมชุมนุมกับ นปช. และผู้เข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. ผลการศึกษาพบว่าโปรไฟล์ของผู้เข้าร่วมชุมนุมกับ

               กปปส. มีการศึกษาสูงกว่า นปช. (The Asia Foundation, 2013a)
                       ในแง่ของการมีส่วนร่วมทางการเมือง การรวบรวมข้อค้นพบในงานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรม การ

               เลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่าประชาชนที่มีการศึกษาสูงจะให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาต่ า

               กว่า (สติธร ธนานิธิโชติ, 2550b) และผู้ที่มีการศึกษาสูงจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ า
               กว่า (Thananithichot, 2011) อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงจะมีการตัดสินใจทางการเมืองที่มีเหตุผล

               มากกว่าและออกไปลงคะแนนด้วยจิตส านึกทางการเมืองที่สูงกว่า (สติธร ธนานิธิโชติ, 2550b) อย่างไรก็ตาม

               ผลการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง ปี 2550 พบว่า ระดับการศึกษาไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างมี
               นัยส าคัญทางสถิติกับการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a) แต่อย่างใด

                       อาชีพและสถานภาพการท างานเป็นลักษณะทางสังคมที่ส าคัญอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากการประกอบ

               อาชีพของแต่ละบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่ส าคัญ เช่น การศึกษา หรือถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิด
               ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกทางการเมืองที่แตกต่างกันออกไป ดังเช่นงานวิจัยที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์

               ระหว่างอาชีพกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง และการศึกษาถึงความนิยมในพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรค

               การเมือง พบว่า คนที่มีความนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์ คือ คนที่ประกอบอาชีพไม่ใช้แรงงาน ในทางตรงกัน
               ข้ามคนที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้แรงงาน จะไม่ชื่นชอบ  พรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับกลุ่มบุคคลที่นิยมนาย

               อภิสิทธิ์ จะเป็นคนที่ประกอบอาชีพที่ไม่ใช้แรงงาน ส่วนคนที่ประกอบอาชีพที่ใช้แรงงานจะมีความนิยมนาย

               อภิสิทธิ์ในระดับต่ า ส าหรับคนที่ชื่นชอบพรรคชาติไทย และชื่นชอบนายบรรหาร ก็เป็นคนที่ประกอบอาชีพที่
               ไม่ใช้แรงงานในการท างาน ในส่วนของคนที่ประกอบอาชีพที่ใช้แรงงานนั้น พบว่ามีความคิดที่จะเลือกพรรค

               มัชฌิมาธิปไตย และไม่อาจสรุปได้ว่าคนที่มีอาชีพต่างกันจะมีแนวโน้มทางด้านพฤติกรรมการออกไปใช้สิทธิที่

               แตกต่างกันแต่อย่างใด (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a)
                       การรวบรวมข้อค้นพบในงานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่าประชาชนที่มีฐานะ

               ทางเศรษฐกิจและสังคมดี จะให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีฐานะทางสังคมเศรษฐกิจและ

               การศึกษาต่ ากว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี จะมีการตัดสินใจทางการเมืองที่มี
               เหตุผลมากกว่าและออกไปลงคะแนนด้วยจิตส านึกทางการเมืองที่สูงกว่า (สติธร ธนานิธิโชติ, 2550b)
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55