Page 48 - kpi19903
P. 48

22



               การเมืองส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากขอบเขตเชิงพื้นที่ นั่นคือพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันมีแนวโน้มจะออกเสียง
               เลือกตั้งในทางเดียวกัน (D. Cutts & D. J. Webber, 2010)

                       การศึกษาการเลือกตั้งของไทยพบว่าผลการเลือกตั้งมีการแบ่งกันอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในภาคเหนือ

               ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ (Ueranantasun, 2012) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผลการเลือกตั้งมี
               แนวโน้มที่จะเป็นไปในทางเดียวกันตามภูมิภาค ดังนั้นในการศึกษานี้จึงได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ เพื่อ

               ทราบถึงรูปแบบของผลการเลือกตั้งว่ามีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่หรือไม่ และถ้าหากมีพื้นที่ใดเป็นฐานเสียงของผู้

               ลงรับสมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใด


               2.5 ปัจจัยประชำกรและผลกำรเลือกตั้ง

                       ปัจจัยประชากร (Demographic variables) เป็นการบ่งบอกคุณลักษณะของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่อาจ
               แสดงให้เห็นถึงการแสดงออกที่เหมือนหรือแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ และการนับถือ

               ศาสนา การศึกษาก่อนหน้านี้ได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยประชากรและผลการเลือกตั้ง มีข้อค้นพบที่

               เหมือนและแตกต่างกันหลายประการ ดังนี้
                       ในเรื่องบทบาททางการเมืองของเพศหญิง ถวิลวดี บุรีกุล ท าการศึกษาเรื่อง “ผู้หญิงกับการเมืองหลัง

               การมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540” เพศหญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ ากว่าเพศชาย และ

               ความต่างระหว่างหญิงชายนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดทางการเมือง และบทบาทของชายและหญิงในทาง
               การเมือง นอกจากนี้ ผู้หญิงที่มีส่วนร่วมทางการเมืองสูงกว่าจะมีความพึงพอใจต่อระบอบประชาธิปไตยสูงกว่า

               ผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย และผู้หญิงในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ รอบใน มีความพอใจในระบอบ

               ประชาธิปไตยที่เป็นอยู่น้อยกว่าผู้หญิงที่อยู่ในต่างจังหวัด ทั้งเขตเทศบาลและชนบท (ถวิลวดี บุรีกุล, 2544)
               ในขณะที่ สติธร ธนานิธิโชติ พบว่าเพศชายมีการไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าเพศหญิงเพียงเล็กน้อย

               (Thananithichot, 2011) และอรรถสิทธิ์ พานแก้ว พบว่าเพศไม่มีนัยส าคัญทางสถิติกับการออกไปใช้สิทธิ
               เลือกตั้ง (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a)

                       ในต่างประเทศนั้นพบว่าระดับศึกษาของผู้มีสิทธิเป็นปัจจัยส าคัญที่มีความสัมพันธ์กับการออกไปใช้

               สิทธิของคนอเมริกันส่วนระดับรายได้และอายุเป็นปัจจัยรองลงมา (Wolfinger & Rosenstone, 1980) หรือ
               การศึกษาที่เน้นความส าคัญของลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจของบุคคล โดยการใช้ระดับการศึกษาท านาย

               ว่าผู้มีสิทธิแบบใดมีแนวโน้มที่จะออกไปใช้สิทธิมากที่สุด (Teixeira, 2011) และยังมีการพบว่า ปัจจัยด้าน

               ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจของบุคคลมีผลต่อการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งแทบทั้งหมด (Verba,
               Schlozman, & Brady, 1995) โดยระดับการศึกษาและอายุของผู้มีสิทธิก็ยังคงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ

               ตัดสินใจออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในระดับสูง (André Blais, 2000)

                       การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่าจะมีการไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่า
               อย่างมีนัยส าคัญ (Thananithichot, 2011) สอดคล้องกับการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งที่พบว่า กลุ่มบุคคล

               ที่มีอายุที่มากขึ้นมีแนวโน้มที่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้น (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a) ในส่วนของการศึกษา
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53