Page 47 - kpi19903
P. 47
21
ดังนั้น การศึกษานี้จึงพิจารณาถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ ภูมิภาคที่อยู่อาศัย และการใช้ประโยชน์
ที่ดิน เนื่องจากความใกล้ชิดกัน การไปมาหาสู่ การพบปะ หรือแม้แต่การเป็นสมาชิกสมาคม หรือชมรมต่าง ๆ
จะท าให้เกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่อาจจะคล้ายคลึงกัน โดยคาดว่าตัวแปรทั้งสองจะอธิบายพฤติกรรม
ทางการเมืองได้
2.4 ควำมสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของผลกำรเลือกตั้ง
การศึกษารูปแบบการกระจายเชิงพื้นที่ของผลการเลือกตั้งปี 2554 มีแนวคิดมาจากกฎข้อที่ 1 ทาง
ภูมิศาสตร์ที่ระบุว่า “ทุกสิ่งล้วนมีความสัมพันธ์กัน แต่สิ่งที่อยู่ใกล้กันจะมีความสัมพันธ์กันมากกว่า สิ่งที่อยู่ไกล
ออกไป” (W. Tobler, 1970a) ซึ่งคาดว่าผลการเลือกตั้งมีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ กล่าวคือพื้นที่ใกล้เคียงกันจะ
มีแนวโน้มที่จะลงคะแนนเลือกตั้งไปในทิศทางเดียวกัน และมีการกระจายแบบเกาะกลุ่มกัน (Clustered) อัน
เนื่องมาจากการพบปะสังสรรค์ของคนที่อยู่ละแวกเดียวกันหรือในสังคมเดียวกัน และมีความเหมือนหรือ
แตกต่างกันไปตามบริบทเชิงพื้นที่
งานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ผ่านมา พบว่าความสัมพันธ์เชิงพื้นที่เป็นตัวแปรที่ไม่ควรละเลย การศึกษา
ระยะทางที่เหมาะสมของการมีปฏิสัมพันธ์ทางการเมือง โดยใช้วิธี Inverse-Distance Weighting (IDW) (เป็น
วิธีการหาน้ าหนักเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนผกผันกับระยะทาง) โดยเหตุผลที่ว่า เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงมีแนวโน้มที่
จะน าไปสู่บริบททางการเมืองที่สอดคล้องกันมากกว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงให้น้ าหนักของผู้ตอบ
แบบสอบถามที่อยู่ใกล้ที่มากกว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ไกล ผลการศึกษาพบว่า ในระยะส ารวจภายในรัศมี
1/3 ไมล์ ได้ถูกเลือกเป็นระยะทางที่เหมาะสมที่สุดของการมีปฏิสัมพันธ์กันทางการเมือง (Makse, Minkoff, &
Sokhey, 2014) หรือผู้คนจะมีปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งภายในรัศมี 1/3 ไมล์ แสดงให้เห็นว่า
ระยะทางที่ใกล้เคียงกันส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ในเรื่องของการเมือง
การศึกษาการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในรัฐเวอร์จิเนียระหว่างปี 2003 และปี 2006 แสดงให้เห็นถึง การมี
ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial Autocorrelation) ของการเลือกตั้งในรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) โดยที่ผู้คนใน
บริเวณใกล้เคียงกันมีแนวโน้มที่จะออกเสียงลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าหน่วย
ทางภูมิศาสตร์ที่มีขนาดเล็ก เช่น เขตเลือกตั้งแสดงความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial Autocorrelation)
มากกว่าการออกเสียงลงคะแนนที่พิจารณาพื้นที่ขนาดใหญ่ (เขตการปกครอง) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลยังชี้ให้เห็น
ถึงความแตกต่างอันเป็นผลมาจากภูมิหลังทางด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตั้งถิ่นฐาน
อีก (M. T. McGahee, 2008)
เช่นเดียวกับการศึกษารูปแบบการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ (England) และเวลล์ (Wales) ในปี ค.ศ.
2005 โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ที่อาจจะส่งผลต่อรูปแบบของการเลือกตั้ง ท าการวิเคราะห์โดยใช้
Spatial Econometric พบว่ารูปแบบของการเลือกตั้งไม่ได้เป็นอิสระจากอิทธิพลทางด้านพื้นที่ โดยผล
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจสังคมเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งแล้ว
ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial Autocorrelation) ก็เป็นปัจจัยที่ส าคัญต่อรูปแบบการเลือกตั้งเช่นกัน พรรค