Page 31 - kpi18343
P. 31
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดอง
ก ร ณี ศึ ก ษ า ใ น ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ
(3) การเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ (Reparation)
การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผล
กระทบจากความรุนแรงให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยา
ทางวัตถุ ได้แก่ การชดเชยด้วยเงิน หรือสิ่งของ หรือการเยียวยาทางจิตใจ อันรวมไปถึง
การฟื้นฟูศักดิ์ศรีของผู้ได้รับผลกระทบ โดยการทำให้สังคมได้ตระหนักรู้ถึงความมี
23
ตัวตนของผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาอาจจะไม่มีใครให้ความสนใจ
เลยก็ได้ ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบในที่นี้ นอกจากจะหมายถึงผู้ที่เป็นเหยื่อของความ
เสียหายโดยตรงแล้ว ก็ยังรวมถึงผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบอันเนื่องจากการบาดเจ็บ
หรือความตายของเหยื่อด้วย เช่น ทายาทโดยธรรม เป็นต้น
(4) การนิรโทษกรรม (Amnesties)
การนิรโทษกรรมที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Amnesty มาจากภาษากรีก
ที่เรียกว่า Amnestia ซึ่งแปลว่า “การลืม” กฎหมายนิรโทษกรรมจึงหมายถึงการที่
กฎหมายถือว่าการกระทำบางอย่างซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการกระทำที่เป็นความผิดนั้น
ไม่เป็นความผิด ส่งผลให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ อย่างไรก็ตาม การนำหลักนิรโทษ
24
กรรมมาใช้จัดการกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งเป็นวิธีการที่ถูก
วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยมีความเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ดังนี้
กลุ่มที่เห็นด้วยกับการนำเรื่องการนิรโทษกรรมมาใช้เพื่อจัดการกับความ
ขัดแย้ง เห็นว่า การนิรโทษกรรมถือเป็นกลไกที่มีความสำคัญมากในการจัดการกับ
ความขัดแย้ง เนื่องจากการดำเนินคดีอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจและกลับมา
25
“แก้แค้น” ได้เมื่อถึงคราวของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า “ทีใครทีมัน” ซึ่งทำให้ความ
ขัดแย้งหวนกลับคืนมาได้อีก อีกทั้ง การดำเนินคดีอาจสร้างความเจ็บปวดมากขึ้น
กว่าเดิม อีกทั้งกลุ่มผู้ที่เห็นด้วยยังให้เหตุผลด้วยว่าจะกล่าวว่าการนิรโทษกรรม
เป็นการไม่สร้างความตระหนักรู้ว่าเกิดการกระทำความผิดขึ้นก็คงจะไม่ถูกต้อง
เสียทีเดียว เนื่องจากการกำหนดให้การกระทำความผิดใดได้รับการนิรโทษกรรม
23 สถาบันพระปกเกล้า. 2556. รายงานการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ. กรุงเทพฯ
: สถาบันพระปกเกล้า หน้า 33
24 ณวัฒน์ ศรีปัดถา. ลักษณะบางประการเกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรมในประเทศไทย.
วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2556, 57-91, หน้า 58
25 Tricia D. Olsen, Leigh A. Payne, Andrew G. Reiter., op., cit, p. 35
สถาบันพระปกเกล้า
22