Page 700 - kpi17073
P. 700
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16 699
ที่ว่า ประชาธิปไตยทางการเมืองจะเกิดขึ้นแท้จริง ก็ต่อเมื่อประชาชนมีความเป็นอิสระทาง
เศรษฐกิจและมีทางพึ่งตัวเองได้ ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมนี้เอง ที่ทำให้รากฐาน
ที่มั่นคงของประชานิยมสุดขั้วที่นักการเมืองและพรรคการเมืองได้นำไปเสนอให้ประชาชนผู้ไม่มี
และผู้ที่เป็นชนชั้นกลางระดับล่างซึ่งเข้าไม่ถึงทรัพยากร ไม่มีส่วนแบ่งทางตลาด ไม่มีอำนาจต่อรอง
ได้เข้ามาลิ้มรสทรัพยากรที่เขาไม่เคยได้ เพราะฉะนั้น การที่นักการเมืองและพรรคการเมือง
นำงบประมาณออกไปโดยผ่านประชานิยมสุดขั้วจึงทำให้ได้รับเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ต่อแต่นี้ไป
การซื้อเสียงในประเทศไทย ไม่ใช่เอาเงินไปแจก 100 หรือ 500 หรือ 1,000 แล้วได้รับเลือกตั้ง
แล้วจบ แต่หมายถึงการให้โอกาสแก่คนไม่มี และคนชั้นกลางระดับล่างในการเข้าถึงทรัพยากร
ซึ่งตนไม่เคยได้เข้าถึง ซึ่งตนไม่เคยได้ลิ้มรสด้วย ถ้าประชานิยมสร้างให้เกิดผลดีแก่บ้านเมือง
ไม่ต้องมาพูดกันวันนี้ ทุกคนยอมรับว่าประชานิยมมีผลเสียมากมาย ตั้งแต่การเอาเงินในอนาคต
มาใช้ในปัจจุบันแล้วผลักหนี้ไปให้ลูกหลานในอนาคตใช้ การทำให้ประชาชนงอมืองอเท้าไม่ต้องทำ
อะไร ไม่ต้องเพิ่มผลิตภาพ ไม่ต้องเพิ่มความสามารถความรู้ แต่ก็คอยรับการให้ แต่ที่สำคัญที่สุด
ก็คือว่าประชาชนถูกลดลงเป็นราษฎร เป็นราษฎรที่ต้องให้พึ่งพิงพึ่งพาการให้ของนักการเมือง
พรรคการเมือง และรัฐบาล เมื่อคนต้องพึ่งนักการเมือง พรรคการเมือง และรัฐบาลอยู่เช่นนี้
เราจึงกล่าวได้ว่า ประชานิยมนี่ละคือพ่อที่แท้จริงของระบบอุปถัมภ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ
ว่า ทุกพรรคการเมืองจึงต้องใช้เงินแผ่นดินไปอุปถัมภ์คนไม่มี คนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีอำนาจ
เข้าถึงทรัพยากร เพื่อประโยชน์ในการได้อำนาจทางการเมือง และคนเหล่านั้นไม่มีความเป็นอิสระ
ใดๆ ทั้งสิ้น โจทย์ใหญ่ของการแก้ปัญหานี้ ก็คือ การที่เราจะทำให้เกิดความเป็นธรรมในทาง
เศรษฐกิจ ในทางสังคมอย่างแท้จริง ทำให้คนไม่มีและคนชั้นกลางระดับล่างกลายเป็นคนมีพอกิน
มีกินมีใช้ ไม่ต้องพึ่งพิงใคร หรือถ้าจะใช้คำตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คือ เราจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้มีอิสรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เขามีโอกาสเลือกอย่างแท้จริง
ทางการเมือง และเพื่อให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
เหตุที่สาม ที่ทำให้เกิดปัญหาที่ต้องมานั่งแก้กันในวันนี้ คือ การจัดสรรอำนาจในระบอบ
การเมืองการปกครองไม่ได้ดุลแห่งความพอดี ในปี 2540 นั้น มีการวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทย
มี 3 ปัญหาหลักๆ ปัญหาที่ 1 ก็คือ การเมืองเป็นเรื่องแย่งชิงอำนาจข้าราชการทหาร พลเรือน
กับนักการเมือง ในประเทศไทยมีนักวิชาการบอกว่า อำนาจการเมืองไม่ใช่อำนาจรัฐ Political
power doesn’t mean state power ซึ่ง state power อยู่ในมือของข้าราชการทหาร พลเรือน
รัฐวิสาหกิจ อำนาจการเมืองอาจจะอยู่ในสภา ในรัฐบาลจริง แต่วันดีคืนดีที่อำนาจการเมืองอ่อนลง
อำนาจรัฐที่แท้จริงที่ถือโดยข้าราชการทหาร พลเรือน และรัฐวิสาหกิจก็จะแสดงตนขึ้นมา
รัฐธรรมนูญปี 40 จึงต้องการแก้ปัญหานี้ ด้วยการทำให้การเมืองของนักการเมืองเป็นการเมือง
ของพลเมือง โดยมีมาตรการด้านหลักๆ สองด้าน ด้านที่ 1 คือขยายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค ด้านที่ 2 คือ การเพิ่มส่วนร่วมของพลเมืองในการเมืองและ
การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ในปี 2540 บอกว่า ปัญหาข้อ 2 ของสมดุลแห่งอำนาจที่เสียไป
ก่อนหน้านี้ ก็คือ อำนาจไปกระจุกตัวอยู่ในมือของฝ่ายบริหารอย่างที่อาจารย์สมบัติท่านพูด
คือใครได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก่อนปี 40 รวมกันก็มาเป็นรัฐบาล พอเป็นรัฐบาลแล้ว ปาฐกถาปิด
ก็มีอำนาจไปตั้งวุฒิสภาอีกหนึ่งวุฒิสภา ก็แปลว่าใช้เงินในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรให้ได้เถอะ
ท่านจะได้ครองทั้งอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ เพราะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร