Page 698 - kpi17073
P. 698
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16 697
ก็ตามที่พรรคการเมืองอ่อนแอ ขัดแย้ง และมีการทุจริต ข้าราชการทหารและพลเรือนก็จะขึ้นมา
แย่งอำนาจการเมืองจากพรรคการเมืองและนักการเมือง นี่คือดุลแห่งอำนาจขั้วที่หนึ่ง
ขั้วที่สอง ก็คือ เอกชนไทย ที่ได้รับผลพวงจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่แผน 1
ถึงแผน 5 มีความเติบโตมากขึ้น พอที่จะเข้ามาคานและมีส่วนร่วมกับรัฐ เกิด กรอ. หรือ
คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนขึ้นในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
ขึ้น เกิดหลักสูตร วปอ. ปรอ. ภาครัฐ-เอกชนมาเรียนร่วมกันขึ้น ต่อมาก็มาถึงปี 2540 เมื่อมีการ
เรียกร้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแล้วไม่รับรองรัฐธรรมนูญฉบับ รสช. โดยการ
อดอาหารของเรือตรี ฉลาด วรฉัตร อันนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย
แก้รัฐธรรมนูญ มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ไปจบลงด้วยการมีรัฐธรรมนูญปี 2540
รัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็นำสมดุลทางการเมืองหรือทางอำนาจขึ้นมาใหม่ระหว่างการเมืองของ
นักการเมืองกับการเมืองภาคพลเมือง อำนาจรวมศูนย์กระจายออกไปให้ได้ดุลกับอำนาจของ
ท้องถิ่น เอาอำนาจของศาลและองค์กรอิสระเข้ามาทัดทานตรวจสอบอำนาจการเมืองของฝ่าย
บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นอันว่าดุลยภาพแห่งอำนาจตั้งปี 2540 ถึงปี 2549 นี้ก็ได้ผลใน
ระดับหนึ่ง
จนกระทั่งเกิดมีปัญหาของการเสียสมดุล การเสียสมดุลนั้นเกิดจากความขัดแย้งทาง
การเมืองระหว่างรัฐบาลพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎรกับบุคคลที่
เรียกว่า “เสื้อเหลือง” นำไปสู่การยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้วก็มีการจัดทำ
รัฐธรรมนูญปี 2550 ช่วงนี้ก็มีการเกิดขึ้นของคนเสื้อแดง ตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2557 เจ็ดปี
นอกจากมีปัญหาเรื่องความสมดุลระหว่างการเมืองของนักการเมืองกับการเมืองของพลเมือง
อำนาจรวมศูนย์กับอำนาจท้องถิ่น อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจของศาลและองค์กร
ตรวจสอบแล้ว ยังมีอำนาจของคนมั่งมีและคนชั้นกลางระดับบน ผมหมายถึงอำนาจทางเศรษฐกิจ
และสังคมของคนชั้นกลางระดับบนและคนมั่งมีกับอำนาจทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไม่มีและ
คนชั้นกลางระดับล่าง ตลอดจนอำนาจของสถาบันการเมืองกับอำนาจของพลเมืองบนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อแดง ม็อบเสื้อหลากสี จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อก่อน
คนไทยอยู่เย็นเป็นสุข มาบัดนี้คนไทยอยู่ร้อนนอนทุกข์ เดือดร้อนถึงขนาดที่ คสช.ต้องออกมา
แสดงความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แล้วก็สัญญาว่า จะคืนความสุขให้กับประชาชน
โจทย์ใหญ่จึงมีอยู่ว่า เราจะช่วยกันเปลี่ยนสภาพอยู่ร้อนนอนทุกข์ให้เป็นสภาพที่เกิดสันติสุข
และสถาพรได้อย่างไร คำพูดนี้ผมยืมมาจากคุณมานิจ สุขสมจิต บรรณาธิการอาวุโสของไทยรัฐ
ฟังแล้วมันกินใจดี เดิมอยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้อยู่ร้อนนอนทุกข์เราจะทำอย่างไรให้เกิดสันติสุขและ
สถาพรนี่คือโจทย์ใหญ่ เมื่อตั้งโจทย์ดังนี้เสียแล้ว เราก็ต้องมาดูว่าอะไรคือสาเหตุ อะไรคือปัญหา
อะไรคือสาเหตุ แล้วจะได้หาทางแก้ได้ที่เหตุ เมื่อวานนี้อาจารย์วิษณุอ้างบาลี วันนี้ผมก็เห็น
พระคุณเจ้ามานั่งอยู่ที่นี่สองรูป ก็ขออนุญาตอ้างบาลีเหมือนกัน บาลีนั้นอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตน
สูตรว่า “ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ” พูดครั้งที่สองก็จะไม่เหมือนเดิม
แล้วนะ แปลว่า “ธรรมอันใดเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ ธรรมอันนั้นก็ดับ” เพราะฉะนั้น เราต้องดูที่ ปาฐกถาปิด
สาเหตุของปัญหาจึงหาทางแก้ได้ถูกต้อง