Page 525 - kpi17073
P. 525

524     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  ระบอบประชาธิปไตยย่อมต้องมีหลักคิดที่เชื่อในความสามารถในการตัดสินใจกระทำการอย่างใด
                  อย่างหนึ่งของประชาชนเสียก่อน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะต้อง

                  มองเห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของบุคคลทุกคน แล้วเปิดโอกาสให้บุคคลแสดงศักยภาพนั้นออกมา
                  ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้ส่วนรวมเกิดความเดือดร้อน และหลักการตรงนี้เองที่ทำให้การปกครอง
                  ระบอบประชาธิปไตยมีความโดดเด่นแตกต่างจากระบอบการปกครองอื่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่า

                  การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีความเหมือนกับการปกครองระบอบอื่นตรงที่การมุ่งเข้าไป
                  จัดการความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆในสังคมก็ตาม แต่กล่าวได้ว่า การปกครองระบอบ

                  ประชาธิปไตยนั้นแตกต่างจากการปกครองระบอบอื่นๆ ตรงที่ “วิธีการ” และ “กระบวนการ” ใน
                  การเข้าไปจัดการความสัมพันธ์ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นใหญ่ในการอยู่ร่วมกันนั่นเอง เรียกได้ว่า
                  ลักษะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy)

                  ที่เป็นการผสมประชาธิปไตยทางตรงกับประชาธิปไตยทางอ้อมเข้าด้วยกัน เพื่อรักษาส่วนแบ่งของ
                  พื้นที่ทางการเมืองให้ประชาชนได้เข้ามีส่วนร่วมในกรอบที่สามารถรักษาดุลยภาพระหว่าง

                  ประชาธิปไตยทางตรงกับประชาธิปไตยทางอ้อม และยึดโยงเข้ากันได้กับความเป็นเจ้าของอำนาจ
                  อธิปไตยของประชาชนด้วย ซึ่งต้องคำนึงถึงความสามารถในการเข้าร่วมทางการเมืองและ
                  ความสามารถในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเมืองของประชาชน (Political efficacy) ได้แก่

                  องค์ประกอบของหลักการในการกระจายอำนาจและการร่วมตัดสินใจทางการเมืองของประชาชน
                  หลักการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญทางการเมือง หลักการสร้างหน่วยการ

                  ปกครองย่อยระดับล่างที่ใกล้ชิดกับประชาชนทั่วไปในฐานราก หลักการสร้างนักการเมือง
                  ภาคพลเมืองที่มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้ (เชาวนะ ไตรมาศ, 2548, น.341-343)


                       อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
                  ประชาชนนั้นสามารถทำได้ในหลายระดับ ซึ่งในที่นี้จะได้แยกวิเคราะห์การเข้าไปมีส่วนร่วมของ

                  ประชาชนอย่างคร่าวๆ ออกเป็น 2 ระดับ นั่นคือ ระดับจุลภาคและระดับมหภาค ทั้งนี้ก็เพื่อชี้ให้
                  เห็นถึงความสำคัญของการเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น และชี้ช่องทางให้ผู้ที่เป็นพลเมืองของประเทศได้
                  เข้าไปทำหน้าที่ในการบริหารรัฐกิจของประเทศ อันจะเป็นการสร้างเสริมให้การปกครองระบอบ

                  ประชาธิปไตยมีความเจริญงอกงามต่อไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้


                       1.  การมีส่วนร่วมในระดับจุลภาค เป็นการมีส่วนร่วมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเมือง
                  ระดับเล็ก เช่น การเมืองภายในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งการมีส่วนร่วมในการเมืองระดับนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่
                  การมีส่วนร่วมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองในระดับนโยบายของประเทศมากนัก แต่ก็กล่าว

                  ได้ว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับจุลภาคของประชาชน ถือเป็นพื้นฐานของการ
                  เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับประเทศต่อไป เพราะการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ

                  จุลภาคนี้เป็นเสมือนพื้นที่ที่ฝึกหัดให้ประชาชนรู้จักการเข้าไปมีส่วนร่วมตามสิทธิและหน้าที่ของตน
                  ซึ่งหากประชาชนมีจิตสำนึกแห่งการมีส่วนร่วมในสนามของการเมืองระดับเล็กแล้ว ก็ย่อมเป็น
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 5   รากฐานให้การเข้าไปมีส่วนร่วมในสนามการเมืองระดับใหญ่เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป



                         สำหรับวิธีการของการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองระดับเล็กนี้มีอยู่หลากหลายรูปแบบ

                  เช่น การเลือกตั้งท้องถิ่น การลงสมัครรับเลือกตั้ง การลงชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น
   520   521   522   523   524   525   526   527   528   529   530