Page 82 - kpi12821
P. 82

แนวทางปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง




                             นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 216 วรรคห้า ได้บัญญัติรับรอง

                   สถานะของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะ
                   รัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะเฉพาะของ
                   ระบบกฎหมายไทยที่มิใช่สกุลกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law System) อันมี
                   หลักบรรทัดฐานคำพิพากษา (Doctrine of Precedent / Stare Decisis) ให้ศาล
                   เดียวกันที่กำลังพิจารณาพิพากษาคดีหลังซึ่งมีข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเหมือนกัน

                   ต้องเดินตามแนวบรรทัดฐานที่ศาลนั้นเคยวางไว้ในคดีก่อน และข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มี
                   ศาลสูงสุดของประเทศใดในโลก แม้แต่ในสกุลคอมมอนลอว์ ผูกพันอย่างเคร่งครัดให้ต้อง
                                                       38
                   วินิจฉัยตามบรรทัดฐานที่ศาลนั้นเคยวางไว้  ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญไทยในอดีต
                                                                 39
                   ก็เคยวินิจฉัยกลับแนวบรรทัดฐานเดิมของตนหลายคดี  ดังนั้น ในทางทฤษฎี จึงต้อง
                   ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญไทยไม่ผูกพันให้ต้องเดินตามแนวการวินิจฉัยคดีของตนเอง 40


                             อนึ่ง แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ 2550 เคยอาศัยเหตุยุบพรรค
                   การเมืองที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.

                      38   ศาลสูงสุดของอังกฤษเดิมคือ House of Lords นั้น เคยประกาศใน Practice Statement ในปี ค.ศ.
          0        1966 ว่า “ในกรณีที่แนวบรรทัดฐานนำมาซึ่งความอยุติธรรมในการพิพากษาคดีหนึ่งคดีใด หรือเป็นการฉุดรั้ง
                   พัฒนาการที่เหมาะสมของกฎหมายอย่างไร้ซึ่งเหตุผลที่ชอบธรรม ศาลก็พร้อมที่จะผลักตนเองออกจากแนว
                   บรรทัดฐานในคดีก่อน หากเห็นว่าเป็นการถูกต้องที่จะทำเช่นนั้น” โปรดดู Bradley and Ewing, Constitutional
                   and Administrative Law, (London: Longman, 14 edition, 2007), น. 383–384; ศาลสูงสุดแห่ง
                   สหรัฐอเมริกาก็เคยวินิจฉัยกลับแนวบรรทัดฐานเดิมหลายสิบคดี เช่น หลักการแบ่งแยกอย่างเท่าเทียม (Separate
                   but Equal) ที่ศาลวางไว้ในคดี Plessy v. Ferguson [163 U.S. 537 (1896)] ถูกกลับ (Overrule) โดย Brown
                   v. Board of Education of Topeka [347 U.S. 483 (1954)] โดยศาลสูงสุดเคยอธิบายความผูกพันต่อหลัก
                   บรรทัดฐานคำพิพากษา (Stare Decisis) ในคดี Planned Parenthood v. Casey ว่า “The obligation to
                   follow precedent begins with necessity, and a contrary necessity marks its outer limit.” [505
                   U.S. 833(1992)] น. 854; ผู้สนใจเกี่ยวกับหลักบรรทัดฐานคำพิพากษาในศาลสูงสุดชุดปัจจุบัน โปรดดู Tom
                   Hardy, “Has Mighty Casey Struck out?: Societal Reliance and the Supreme Court’s Modern Stare
                   Decisis Analysis,” Hastings Constitutional Law Quarterly (Vol. 34 Summer 2007) น. 591 – 622.

                      39   เช่น คดีเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ โปรดเทียบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่
                   2/2541 กับคำวินิจฉัยที่ 58-62/2543 หรือเทียบคำวินิจฉัยที่ 6/2542 ที่ 7/2542 และที่ 8/2542 กับคำวินิจฉัยที่
                   6/2543 เป็นต้น ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 268 ก็บัญญัติเนื้อความไว้เหมือนกันกับมาตรา 216 วรรคห้าของ
                   รัฐธรรมนูญ 2550; ผู้สนใจบทวิเคราะห์เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญไทย โปรดดู วรเจตน์ ภาคีรัตน์, รายงานวิจัยฉบับ
                   สมบูรณ์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยและผลผูกพันของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ: ศึกษากรณี
                   ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาและศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน, (กรุงเทพฯ: มิสเตอร์ก๊อปปี้,
                   2550)

                      40   แต่ทั้งนี้ การจะเปลี่ยนแนววินิจฉัยกลับไปกลับมาอยู่บ่อยครั้ง ก็จะกลับกลายเป็นการไม่เคารพหลักนิติรัฐ
                   หรือนิติธรรมที่มีหลักการพื้นฐานข้อหนึ่งคือ หลักความมั่นคงแน่นอนของกฎหมาย (Legal Certainty)
   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87