Page 78 - kpiebook67036
P. 78

77





                  กับข้อเรียกร้องดังกล่าวหลายประการ ท�าให้กษัตริย์เองก็ไม่กล้าฝืนที่จะใช้ก�าลังบีบบังคับให้ประชาชน

                  กระท�าตามที่พระองค์ต้องการ  188


                           แต่เมื่อการรุกรานจากต่างชาติเริ่มปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ข้ออ้างของฝ่ายผู้ปกครองเรื่อง
                  ภัยคุกคามจึงถูกน�ามาใช้อีกครั้ง ผลลัพธ์อันย้อนแย้งที่ตามมาคือ ชาวนาสวีเดนที่ต้องแบกรับภาระ

                  ในการจ่ายภาษีและการเกณฑ์ทหารเพื่อแลกกับความสะดวกสบายจากการได้รับการปกป้องคุ้มครองจากรัฐ
                  อันท�าให้พวกเขาโต้แย้งรัฐในบางครั้ง เมื่อเห็นว่ารัฐได้ละเมิดเส้นแบ่งดังกล่าวโดยการร้องขอให้พวกเขา

                  กระท�าในสิ่งที่นอกเหนือไปจากพันธะสัญญาระหว่างพวกเขากับผู้ปกครอง และเรียกร้องให้มีเส้นแบ่ง
                  ที่ชัดเจนระหว่างหน้าที่ของพลเรือนกับทหาร แต่เมื่อทรัพยากรดังกล่าวถูกน�าไปใช้ในการท�าสงครามเชิงรุก

                  ของกษัตริย์จนหมด และสวีเดนถูกรุกรานจากต่างชาติ สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ที่รัฐเรียกร้องจากพวกเขา
                  คือ ขอให้พวกเขาออกมาปกป้องมาตุภูมิของตนเองภายใต้ข้ออ้างเรื่องภัยคุกคามและความมั่งคั่งและ

                  ความปลอดภัยร่วมกัน อันเป็นสถานการณ์ที่ชาวนาเหล่านั้นกลับไม่สามารถเรียกร้องปฏิเสธได้ และ
                  ส่งผลให้ประเด็นเรื่องเส้นแบ่งระหว่างหน้าที่ของพลเรือนกับทหารที่เคยถูกหยิบยกมาอภิปรายในยามสันติ

                  ตกอยู่ในสภาวะคลุมเครือตามไปด้วยเช่นกัน  189






                  สรุป สถานะและสิทธิ์ของชาวนาใน ting



                           ในส่วนสุดท้ายนี้ ผู้เขียนจะสรุปเกี่ยวกับสถานะและสิทธิ์ของชาวนาสวีเดนในฐานะที่เป็นภาคส่วน

                  ของมหาชน (the many) ในการเมืองสวีเดนยุคกลาง ตามจารีตประเพณีการปกครองของสวีเดน
                  สิทธิ์อ�านาจตามกฎหมายของชาวนาที่เป็นมหาชน (the many) ชาวสวีเดนในช่วงปลายยุคกลางด�ารงอยู่

                  ในฐานะสิทธิ์อ�านาจของ “ชุมชน” (Community) ซึ่งมีรากฐานจากทั้งการเป็นชุมชนดั้งเดิมและชุมชนของ
                  ชาวคริสต์ ชุมชนชาวนาในยุคกลางของสวีเดน ท�าหน้าที่เป็นรากฐานของการใช้สิทธิ์อ�านาจตามกฎหมาย

                  ในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถถ่ายโอนสิทธิ์อ�านาจดังกล่าวไปให้คณะบุคคลหรือเอกบุคคลใช้ในการเฉพาะได้
                  เช่น การที่กษัตริย์ (the one) สัมพันธ์กับมหาชนในลักษณะของการที่สองฝ่ายต่างมีพันธสัญญาต่อกัน

                  ซึ่งในด้านหนึ่งเป็นการให้อ�านาจแก่มหาชนเพื่อจ�ากัดอ�านาจของกษัตริย์ และท�าให้กษัตริย์ตามจารีตนี้
                  มาจากการเลือกตั้ง (Elective kingship) นอกจากนี้ ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) ของสวีเดน

                  ยังมิได้มีความเข้มข้นมากหากเปรียบเทียบกับรัฐอื่น ๆ ในภาคพื้นทวีปของยุโรป ประกอบกับการที่ชาวนา
                  ส่วนใหญ่ในสวีเดนมีที่ดินเป็นของตนเอง (yeomen) ปัจจัยเหล่านี้ จึงยิ่งท�าให้บทบาทของมหาชนสวีเดน

                  ในช่วงยุคกลางมีความโดดเด่นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐอื่น ๆ ในยุโรปในช่วงเวลาเดียวกัน
                                                                                                       190

                  188   Anna Maria Forssberg, “The Final Argument: war and the merging of the military and civilian spheres
                      th
                  in 17  Century Sweden,” Scandinavia Journal of History, Vol. 39, 2 (2014): 179.
                  189   Anna Maria Forssberg, “The Final Argument: war and the merging of the military and civilian spheres
                  in 17  Century Sweden,” Scandinavia Journal of History, Vol. 39, 2 (2014): 180.
                      th
                  190   Mia Korpiola, “Not without the consent and goodwill of the common people: the community as a legal
   73   74   75   76   77   78   79   80   81   82   83