Page 66 - kpiebook67036
P. 66

65





                          ขณะเดียวกัน ในแง่ของอุดมการณ์ทางการเมืองการปกครอง สวีเดนได้รับอิทธิพลจาก

                  คริสต์ศาสนา ทั้งทางวัฒนธรรมและในทางการเมือง จากการที่มีคนสวีดิชไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย
                  ในต่างแดนและน�าเอาแนวคิดใหม่ๆ กลับมาสวีเดน โดยเฉพาะแนวคิดทางการเมืองที่ให้มีการแบ่งสรร

                  และร่วมใช้อ�านาจกันระหว่างกษัตริย์ อภิชนและแม้แต่สามัญชนในอาณาจักรสแกนดิเนเวียในตอนปลาย
                  ยุคกลาง และพัฒนาการของการเกิดสภาในอาณาจักรในยุโรปในยุคกลางได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด

                  แนวคิดเรื่องตัวแทนทางการเมือง (political representation) ซึ่งเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับการริเริ่มใช้กฎหมาย
                  โรมันและกฎหมายศาสนจักร (canon law) และอาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากการจัดการที่คล้ายๆ กัน

                  เกี่ยวกับการจัดองค์กรของศาสนจักร ก้าวส�าคัญของพัฒนาการแนวคิดตัวแทนทางการเมืองนี้เกิดจาก
                  การริเริ่มแนวคิดเรื่อง communitas ที่มีนัยหมายถึง ชุมชนแห่งคนพวกเดียวกัน (community of fellowship)

                  ซึ่งถูกน�ามาใช้ในสังคมสวีเดนในตอนต้นศตวรรษที่สิบสี่ และในที่สุด communitas ถูกใช้ในความหมาย
                  ของค�าส�าหรับคนชั้นที่สามที่ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ของสังคม (the unprivileged third order of society) นั่นคือ

                  สามัญชน ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงประชาชน ทั้งมวลโดยรวมด้วย การมารวมกันเป็นกลุ่มในความหมาย
                  ของ communitas regni หรือ ชุมชนแห่งอาณาจักร (the community of the realm) โดยมีความหมาย

                  ที่เชื่อมต่อกับองค์การเมือง (political body) ของอาณาจักรโดยรวม ที่รวมการใช้อ�านาจของกษัตริย์และ
                  อภิชน ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ ที่จะต้องมีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชน

                  รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองนี้ได้ถูกท�าให้เกิดขึ้นจริงในอาณาจักรสแกนดิเนเวีย แม้จะไม่มีตัวแทน
                  ของอ�านาจผ่านการเลือกตั้ง แต่เป็นการผ่านการยอมรับโดยดุษณี (quite acceptance) ว่า คนที่ดีที่สุด

                  ของอาณาจักร (the best men of the kingdom) เป็นตัวแทนของทั้งอาณาจักรและคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่  167


                          กฎหมายศาสนจักรและแบบแผนการปฏิบัติของการจัดองค์กรของศาสนจักรมีบทบาทส�าคัญยิ่ง
                  ในพัฒนาการของสภาตัวแทน และมีบทบาทต่อพัฒนาการรูปแบบการปกครองแบบผสมด้วย จุดเริ่มต้น

                  คือ สถานะจุดยืนของการรวมตัวเป็นสมาคมในกฎหมายโรมัน ที่หลักการส�าคัญที่ถูกน�ามาใช้คือ “อะไรที่มี
                  ผลต่อทุกคน จะต้องได้รับการยอมรับอนุมัติจากทุกคน” ในช่วงปลายยุคกลาง ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้ว

                  ข้างต้น ทั้งศาสนจักรและองค์กรการเมืองทางโลกถูกถือว่าเป็นการรวมเป็นสมาคมเดียวกัน อันน�าไปสู่
                  การพัฒนาทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้น�าหรือผู้ปกครองของสมาคมและสมาชิกของ

                  สมาคมหรือพสกนิกร โดยเฉพาะ ในกฎหมายศาสนจักร ซึ่งนักกฎหมายศาสนจักรมีความกังวลว่า สันตะปาปา
                  อาจจะล้มเหลว ดังนั้น พวกเขาจึงเห็นความจ�าเป็นที่จะต้องมีสถาบันอื่นที่พร้อมที่จะเป็นตัวแทนของ

                  ศาสนจักรทั้งหมด ทางออกคือ การให้มีสภาทั่วไป (a general council) ที่อยู่เหนือสันตะปาปา หากเกิด
                  ในข้อสงสัยเกี่ยวกับความศรัทธา ผลที่ตามมาคือ สันตะปาปาจะเป็นผู้มีอ�านาจมากได้ หากพระองค์ปฏิบัติ

                  การร่วมกับสภาและไม่ใช้อ�านาจเองล�าพัง ท�าให้ในเวลาต่อมา นักกฎหมายศาสนจักรได้อ้างว่า ผู้ปกครอง
                  ยิ่งใหญ่กว่าปัจเจกบุคคลใดๆ แต่น้อยกว่าผลรวมของปัจเจกบุคคลทุกคน และนักกฎหมายศาสนจักร


                  Companion to the History of Democracy: From Pre-history to Future Possibilities (Edinburgh: Edinburgh
                  University Press, 2012), p. 148.
                  167   Frode Hervik, “The Nordic Countries,” in Benjamin Isakhan and Stephen Stockwell (editors), The Edinburgh

                  Companion to the History of Democracy: From Pre-history to Future Possibilities (Edinburgh: Edinburgh
                  University Press, 2012), pp. 148-149.
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71