Page 416 - kpiebook67020
P. 416
415
(2016, p.38) ที่ว่าการจัดการกับวิกฤตสังคมต้องให้หลายภาคส่วนได้ร่วมกันระบุว่า
อะไรคือวิฤตสังคม สาเหตุเกิดจากอะไร มีปัจจัยเร่งอะไรบ้างที่น�าไปสู่วิกฤต แล้วจึงหา
แนวทางจัดการกับวิกฤตสังคมเหล่านั้น เช่นเดียวกับข้อสังเกตของ Banzhaf et al.
ที่ว่าการศึกษาและรู้ว่ามีความอยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมหรือไม่อาจไม่เพียงพอ
การจัดท�านโยบายที่ช่วยลดความอยุติธรรมเหล่านี้ต้องเข้าใจถึงรากฐานของปัญหา
เช่นว่า หากไม่มีความเท่าเทียมในการเลือกพื้นที่ในการวางโครงการใด ๆ ก็ตาม
การแก้ปัญหาก็ควรจะเป็นการออกแบบใหม่เกี่ยวกับการอนุญาตให้ก่อสร้างหรือ
การโซนนิ่ง (Banzhaf et al., 2019, pp.22-23)
ประการต่อมา ต่อเนื่องจากการวิเคราะห์สาเหตุคือการพิจารณาเรื่องของ
ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ Alexander และ Thrimurthulu ต่างเน้นย�้าคือ การรวบรวม
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดเพื่อร่วมกันจัดการวิกฤตสังคมตั้งแต่การวางแผน
ให้ข้อมูล ติดตาม และประเมินผล (Thrimurthulu, 2016; Alexander, 2019)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเด็นสิ่งแวดล้อมที่เมื่อเกิดวิกฤตยิ่งกระทบต่อหลายภาคส่วน
เฉกเช่น Susa ที่กล่าวว่าวิกฤตทางนิเวศวิทยาหรือวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหา
ที่ใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่ยาวนาน ทั้งยังเชื่อมโยงกับกิจกรรม
ที่ท�าของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น เช่น การเปลี่ยนแปลงที่ดิน
ท�าให้ถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นไปในทางที่ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ใหม่
และเมื่อทั่วโลกต่างอยู่ในความเสี่ยง จึงได้เกิดการเพรียกหาความรับผิดชอบร่วมกัน
(Collective responsibility) ระหว่างรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาสังคม (Susa, 2018,
p.3; 10) ด้วยทุกภาคส่วนต่างมีบทบาทส�าคัญในรับมือและแสวงหาทางออกร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่น่าสนใจในการหาเหตุและผลเบื้องต้นจากกรณีความยุติธรรม
ทางสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมทางสังคมที่อาจมีความเสี่ยงต่อ