Page 33 - kpiebook67014
P. 33

นั้นเขาเกิดความเข้าใจเพียงใด เพราะบางคนไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับคนอื่นตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ จึงท าให้สิ่งที่
              ด าเนินการอยู่ปัจจุบันยังเป็นการมองต่างมุมอยู่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                     “เท่าที่ได้ไปร่วมเราก็จะได้ความรู้ ความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง แต่สิ่งที่ปัจจุบันที่ท ากันอยู่ทุกวันนี้ จะ
              เป็นการมองต่างมุม บางคนเขาชวนแล้วก็ไม่ไป ถ้าเขาไปมาแล้วท าไมไม่ชวน”
                     ประการสุดท้าย กิจกรรมจากงานวิจัยท าให้เกิดการรื้อฟื้นและต้องการที่จะพัฒนาทุนเดิมที่มีอยู่ โดย
              พบว่า ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายอย่าง แต่เดิมนั้นมีกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มโฮมสเตย์

              กลุ่มตักบาตรข้าวเหนียว กลุ่มนางร า มีการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม เมื่อมีกิจกรรมงานวิจัยนี้เข้ามาที่
              เชียงคาน ได้มีการท าให้ชุมชนรื้อฟื้นสิ่งที่เคยมีอยู่และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ท าให้ขายได้ ยกตัวอย่างเกิดเพลงใหม่
              ๆ เกี่ยวกับเชียงคานขึ้นมา เช่น เชียงคานบ้านเฮา หรือแต่เดิมเคยมีสภาเมืองที่ท าหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของเมือง แต่
              พอการเปลี่ยนแปลงของเมืองเกิดขึ้น คนภารกิจมากขึ้นสภาเมืองจึงถูกลืมเลือนไปบ้าง แต่กิจกรรมนี้ท าให้คนเชียง

              คานกล่าวถึงสิ่งเดิมที่เคยมีอยู่
                     นอกจากนี้ กิจกรรมจากงานวิจัยนี้ยังท าให้เกิดการออกแบบการปกครองตนเองของชาวเชียงคาน ด้วย
              เครื่องมืออย่างเทศบัญญัติ ซึ่งท าให้จากเดิมที่บางครัวเรือนในชุมชนเดียวกันอยู่แบบต่างทิศทางและคิดแบบต่าง
              คนต่างอยู่ กลับมาให้ความส าคัญกับทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ เพราะผลของการท ากิจกรรมนั้นอาจกระทบต่อวิถีชีวิต

              และรายได้ของเขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนเองว่าหากไม่ไปเข้าร่วมใน
              กิจกรรมที่รัฐจัดขึ้นจะเสียโอกาสทางการพัฒนา ตัวอย่างดังนี้
                     “...การที่ท าข้อบัญญัติของเทศบาลด้วยนี้มันเกี่ยวข้องกับวิถีคนเชียงคานทั้งหมด .... การมีส่วนร่วมถ้าเขา

              เสียโอกาสตรงนี้ เขาจะไม่ยอม มันก็เลยการเกิดกระบวนการว่าเขาท าอะไรกัน น่าสงสัยจังเลย ถ้าฉันไม่ท าฉันจะ
              เสียสิทธิ์หรือไม่ ก็เลยเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่ท าให้คนเชียงคานเข้ามามีส่วนร่วม”

                     4.3.2 ปัจจัยความส าเร็จ
                     ส าหรับปัจจัยความส าเร็จที่พบจากการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึกว่าปัจจัยความส าเร็จการ

              ด าเนินงานนี้จนส าเร็จได้เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง และแต่ละท่านได้มีส่วนในความส าเร็จครั้งนี้อย่างไร พบว่า ทั้งสาม
              กลุ่มเห็นพ้องร่วมกันว่า ปัจจัยที่ส าคัญคือ
                     หนึ่ง ความตื่นตัวของคนเชียงคานในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทุนทางวัฒนธรรม โดยตระหนักถึงคุณค่าของ

              ทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในพื้นที่ ท าให้คนเชียงคานได้กลับมาส ารวจและทบทวนตนเองว่า สิ่งดี ๆ ที่เป็นทุนทาง
              วัฒนธรรมที่อยู่รายล้อม จะฟื้นฟูและอนุรักษ์ทุนทางวัฒนธรรมเหล่านั้นอย่างไร เพื่อท าให้ทุนทางวัฒนธรรมที่มีใน
              เชียงคานสามารถ “กินได้” สอดคล้องกับผู้ให้สัมภาษณ์ที่ว่า ปัจจัยส าเร็จคือความร่วมมือของคนในชุมชน ความ
              สามัคคี พร้อมเพรียง คนที่เข้ามาจากที่อื่นเมื่อมาดูวัฒนธรรมก็เห็นว่าเป็นความสามัคคี แต่เห็นว่าน่าจะเหมือนกัน

              ทุกชุมชน คงไม่มีใครไม่ต้องการอนุรักษ์หรือไม่รักทุนของตัวเอง (02 [สัมภาษณ์], 26 กรกฎาคม 2566)
                     สอง การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ให้คนในชุมชนได้รับทราบถึงความส าคัญของกิจกรรมและโครงการที่
              ก าลังด าเนินการอยู่ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความชัดเจน และดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น
                     สาม ความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งคนในชุมชน เทศบาลต าบลเชียงคาน คณะครู ผู้ปกครอง ที่ให้

              การสนับสนุนการด าเนินกิจกรรมตามบทบาทหรือหน้าที่ของตน รวมถึงหน่วยงานภายนอกที่เข้ามาหนุนเสริมการ
              ด าเนินกิจกรรมร่วมด้วย
                     นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมทั้งสามกลุ่มยังมีความเห็นเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นปัจจัยความส าเร็จ กลุ่มผู้บริหาร
              และเจ้าหน้าที่เทศบาล ให้ความเห็นว่า นอกจากความตื่นตัวของคนในชุมชนแล้ว ปัจจัยความส าเร็จยังเป็นผลสืบ

              เนื่องมาจากกิจกรรมพัฒนาการใช้ประโยชน์จากทุนทางวัฒนธรรมของเชียงคานมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงโดยตรง




                                                          - 30 -
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38