Page 125 - kpiebook66025
P. 125
125
ของอ�านาจหน้าที่ภายในสถาบันทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องอ�านาจของฝ่ายบริหาร
อย่างประธานาธิบดีที่ลดบทบาทลงอยู่ภายใต้การควบคุมและตรวจสอบของรัฐสภา
มากขึ้นและการที่ท�าให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทชัดเจนขึ้นในฐานะ
ฝ่ายนิติบัญญัติ ก่อนหน้านี้มีการให้อ�านาจประธานาธิบดีในการออกกฎหมาย
โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทเพียงแค่ยินยอมลงนามรับรองต่อร่างกฎหมาย
ที่ร่างโดยผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ในยุคปฏิรูปการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มีส่วน
สร้างให้ระบอบประชาธิปไตยของอินโดนีเซียเข้มแข็งมากขึ้น
ในปี 1999 - 2004 ถือว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านที่ส�าคัญของรัฐสภาอินโดนีเซีย
เพราะการเลือกตั้งปี 1999 เป็นการเลือกตั้งครั้งส�าคัญของอินโดนีเซียหลังยุคระเบียบใหม่
มีพรรคการเมืองเข้าร่วมกว่า 100 พรรค การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในปี 2002 ครั้งที่ 3
มีผลบังคับใช้กับการเลือกตั้งในปี 2004 ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกผู้แทนภูมิภาค ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
จากประชาชน เป็นระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน และมีการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง
และกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อสร้างให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง และก�าหนด
ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่หลักในการออกกฎหมาย มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ
ของสมาชิกจากกองทัพหากเปรียบกับยุคก่อนหน้านี้ที่ทหารมีบทบาทสูงในการเมือง
รวมถึงกลไกในกระบวนการสร้างการตัดสินใจในรัฐสภาด้วยกลไกการลงเสียงประชามติ
เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มแบบคณาธิปไตยของชนชั้นน�าในพรรคการเมือง
ในส่วนของบทบาทหน้าที่ของพรรคการเมืองมีความส�าคัญในระบอบ
ประชาธิปไตยที่เติบโตขึ้น พรรคการเมืองได้แสดงบทบาทที่ดีในฐานะเป็นผู้ประสาน
ด้วยยุทธศาสตร์กระบวนการก่อร้างสร้างรัฐบาลกับประชาชน อีกทั้งพรรคการเมือง
ยังมีบทบาทในกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของประเทศด้วยการท�าหน้าที่เป็นเสาหลัก
ในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย เมื่อมีการรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อต้องการ
พัฒนาและใช้อ�านาจเพื่อน�าไปสู่การเสนอร่างกฎหมายและเสนอนโยบายสาธารณะ
โดยค�านึงถึงศักดิ์ศรีและขวัญก�าลังใจในกระบวนการทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองจึงมีบทบาทส�าคัญมากในการเป็นสื่อกลางเพราะสมาชิกรัฐสภา
ก็มาจากสมาชิกพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปท�าหน้าที่ และจากตัวแทน