Page 13 - kpiebook66004
P. 13
13
ได้ชี�ให้เห็นว่าปัญหาทางทฤษฎีตรงนี�จะมิเพิียงปรากฏิในบัริบัททางการเมืองเฉพิาะของประเทศูอาร์เจนติน่า แต่
ยังเป็นปัจจัยเบัื�องหลังความไร้น�ำยาของขบัวนการเคลื�อนไหวฝ่่ายซ้ายในสังคมการเมืองตะวันตกที�ไม่สามารถ
เชื�อมต่อวาระทางการเมืองของตนเข้ากับัความไม่พิอใจในสภาพิสังคมและเศูรษฐกิจของเหล่านิสิต/นักศูึกษาจน
ก่อเกิดเป็นการเคลื�อนไหว (และจลาจล) ครั�งใหญ่ในปี ค.ศู. 1968 ตลอดไปจนถึงการละเลยแนวร่วมที�ขบัวนการ
ฝ่่ายซ้ายไม่สามารถเชื�อมต่อตนเองเข้ากับัขบัวนการเคลื�อนไหวในทศูวรรษต่อมา ซึ�งมีลักษณีะเป็นขบัวนการ
เคลื�อนไหวแบับัใหม่ที�ไม่ได้อาศูัยปัจจัยด้านชนชั�นมาเป็นเกณีฑ์์ขับัเคลื�อนมากเท่ากับัปัจจัยด้านเพิศูสภาพิ เชื�อชาติ
และสีผิว ฯลฯ 7
การตั�งคำถามต่อปัญหาความคับัแคบัทางทฤษฎีในลัทธิ์ิมาร์กซ์ของลาคลาวนี� นอกจากจะเป็นผล
มาจากการทบัทวนถึงประสบัการณี์ทางการเมืองอันล้มเหลวของเขาแล้ว ยังสะท้อนถึงรากฐานทางทฤษฎีที�ฟูมฟัก
ความคิดและการประเมินสถานการณี์ต่าง ๆ ของตัวเขาเองด้วย กล่าวคือ แม้จะนิยามตนเองเข้ากับัขบัวนการ
เคลื�อนไหวทางการเมืองแบับัฝ่่ายซ้าย แต่ลาคลาวก็ไม่เคยโอบัรับัแนวทางทฤษฎีแบับัลัทธิ์ิมาร์กซ์ดั�งเดิมที�ให้
ความสำคัญกับัการวิเคราะห์สถานการณี์ทางการเมืองผ่านปัจจัยความขัดแย้งทางเศูรษฐกิจเป็นหลัก เพิราะ
แนวทางที�มีอิทธิ์ิพิลจริง ๆ ต่อความคิดของตัวเขานั�นกลับัเป็นแนวทางภายใต้จารีตลัทธิ์ิมาร์กซ์แบับัโครงสร้างนิยม
ของหลุยส์ อัลธิ์ูแซร์ (Louis Althusser) นักปรัชญาคนสำคัญชาวฝ่รั�งเศูส ผู้เล็งเห็นถึงความเป็นเอกเทศูของ
ไวยากรณี์และกลไกการเปลี�ยนแปลงทางการเมืองที�อาจมีความสัมพิันธิ์์ แต่ก็มิได้อยู่ภายใต้การกำหนดจาก
ความขัดแย้งทางเศูรษฐกิจ ดังที�ลาคลาวได้กล่าวย�ำว่ารากฐานดั�งเดิมที�ส่งผลในการก่อตัวทางความคิดและ
โลกทัศูน์ทางทฤษฎีของตัวเขานั�นจะมาจากปรัชญาลัทธิ์ิมาร์กซ์ของอัลธิ์ูแซร์ โดยเฉพิาะแนวคิดเรื�อง “การกำหนด
เชิงซ้อน” หรือ overdetermination ซึ�งเป็นแนวคิดรากฐานที�ช่วยให้ตัวเขาสามารถจำแนกมรรควิธิ์ีในการวิเคราะห์
สถานการณี์ทางการเมืองออกจากกรอบัการวิเคราะห์แบับัเศูรษฐกิจกำหนดของลัทธิ์ิมาร์กซ์ดั�งเดิม 8
ทั�งนี�สำหรับัผู้ที�คุ้นเคยกับัข้อเขียนของอัลธิ์ูแซร์ คงทราบักันเป็นอย่างดีว่าหนึ�งในคุณีูปการทางทฤษฎีที�
อัลธิ์ูแซร์มีให้กับัลัทธิ์ิมาร์กซ์ก็คือการขับัเน้นลักษณีะเด่นในแนวทางวิเคราะห์สังคมการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์
(Karl Marx) ที�ผิดแผกแตกต่างไปจากแนวทางการวิเคราะห์ของนักปรัชญารุ่นก่อนหน้าอย่างเฮเกล (GeorgWilhelm
Friedrich Hegel) ผู้ให้ความสำคัญกับัเอกภาพิในไวยากรณี์ของความขัดกัน (logics of contradiction) ภายใต้
ปฏิิบััติการของกฎแห่งวิภาษวิธิ์ี กล่าวคือแม้เฮเกลและมาร์กซ์อาจให้ความสำคัญกับัวิภาษวิธิ์ีผ่านการยอมรับัถึง
นิมิตขององค์รวมทางสังคม (social totality) อันเป็นหัวใจสำคัญในไวยากรณี์ที�ขับัเคลื�อนกฎแห่งวิภาษวิธิ์ี แต่
อัลธิ์ูแซร์จะพิิจารณีาว่านิมิตที�มาร์กซ์มีต่อองค์รวมทางสังคมนั�นจะแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากนิมิตใน
เรื�องเดียวกันนี�ของเฮเกล เพิราะในขณีะที�เฮเกลจะสรุปเหตุการณี์และการคลี�คลายทางประวัติศูาสตร์ผ่าน
ไวยากรณี์ความขัดแย้งของความคิด (Idea) และจิตสากล ซึ�งส่งผลลดทอนตัวแปรและความซับัซ้อนที�ปรากฏิ
ในรูปของประสบัการณี์ภาคปฏิิบััติ (practical experience) จากเหตุการณี์เหล่านั�น มาร์กซ์ (ตามสายตาของอัลธิ์ูแซร์)
กลับัพิิจารณีาความสุกงอมทางประวัติศูาสตร์ (ซึ�งนำไปสู่การแตกหักกับัเงื�อนไขทางการเมืองก่อนหน้าจนก่อเกิดเป็น
สถานการณี์ปฏิิวัติ) ว่ามิได้เกิดขึ�นผ่านการถือครองปัจจัยการผลิตตามกรอบัทฤษฎีตั�งต้นของตนแต่เพิียงอย่างเดียว
หากแต่เป็นผลจากการผสานกันของความขัดแย้งหลายระดับัที�ต่างก็กำหนดซ้อนทับัซึ�งกันและกัน (overdetermine)
7 Laclau, “Building a New Left”. pp.179-180
8 Ibid, pp.178-179; Laclau, “Theory, Democracy, and Socialism”. p.199.