Page 138 - kpiebook65072
P. 138
137
โดยกำาหนดให้รัฐภาคีจะต้องดำาเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อพบตัวผู้กระทำาผิด
ในเขตอำานาจของตนเพื่อมิให้ผู้กระทำาความผิดลอยนวล หลบหนีกระบวนการ
ยุติธรรมไปได้ ดังนั้น ในกรณีที่รัฐพบตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำาความผิด
256
ในอาณาเขตซึ่งอยู่ภายในเขตอำานาจของตน และปรากฏว่ารัฐอื่นได้ร้องขอให้
ส่งตัวบุคคลนั้นเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีระหว่างกัน
หรือตามพันธกรณีระหว่างประเทศอื่น ๆ หรือปรากฏว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ
ได้ขอให้ส่งมอบตัวบุคคลนั้นให้กับศาลสำาหรับเฉพาะกรณีการกระทำาให้
บุคคลสูญหาย รัฐที่พบตัวผู้กระทำาความผิดจะต้องเลือกว่าจะส่งตัวบุคคลนั้น
เป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ หากรัฐตัดสินใจไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐนั้นก็มีหน้าที่
257
ในการฟ้องร้องดำาเนินคดีต่อผู้กระทำาผิดรายนั้นเอง ไม่สามารถละเว้นหน้าที่นี้ได้
ทั้งนี้ หากแม้ไม่ปรากฏว่ามีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐที่พบตัวผู้กระทำาผิด
ก็ยังคงมีหน้าที่ในการฟ้องร้องดำาเนินคดีต่อผู้กระทำาผิดรายนั้น เพราะหากกำาหนด
ให้หน้าที่ดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าได้มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็จะทำาให้
มิอาจปรับใช้หลัก Aut Dedere Aut Iudicare ได้อย่างเต็มที่ และกระทบต่อ
ประสิทธิผลของการบังคับใช้อนุสัญญาอย่างมาก 258
เมื่อรัฐตัดสินใจที่จะฟ้องร้องดำาเนินคดีต่อผู้กระทำาผิดรายนั้นเสียเอง
เจ้าพนักงานของรัฐจะต้องทำาคำาวินิจฉัยบนมาตรฐานเดียวกันกับความผิดธรรมดา
ที่มีลักษณะร้ายแรงภายใต้กฎหมายภายในของรัฐ ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ
ใช้คำาว่า “any ordinary offence of a serious nature” ดังนั้น รัฐจะต้อง
ประกันว่ากระบวนการยุติธรรมในคดีที่เกี่ยวข้องกับการทรมานหรือการกระทำา
ให้บุคคลสูญหายจะต้องมีมาตรฐานเดียวกันหรือไม่น้อยไปกว่ามาตรฐาน
ที่ใช้บังคับกับความผิดธรรมดาที่มีลักษณะร้ายแรงอื่น ๆ ที่ปรากฏในกฎหมาย
256 Ahcene Boulesbaa, The U.N. Convention on Torture and the Prospects
for Enforcement, (The Hague, 1999), p. 206.
257 Supra Note 196, p. 345.
258 Supra Note 141, CAT Handbook, p. 137.
inside_ .indd 137 14/9/2565 11:15:04