Page 61 - kpiebook65043
P. 61
สรุปการประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 23 61
ประชาธิปไตยในภูมิทัศน์ใหม่
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หลายคนมีความฝัน และเชื่อว่ารัสเซียจะเป็นประชาธิปไตย
หรือมองเห็นการเลือกตั้งในรัสเซียด้วยความหวังอย่างมาก แต่สุดท้าย สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง
กลับไม่ได้ตอบโจทย์ของความฝันชุดนี้อย่างแท้จริง ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ความฝันชุดนี้จบลง
ในรูปแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ประชาธิปไตยที่เดินไปข้างหน้าจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
ที่เกิดขึ้น กลับหยุดอยู่ระหว่างทางของความเป็นประชาธิปไตยกับความเป็นเผด็จการในระบอบ
อำนาจนิยม ซึ่งเราอาจเรียกสภาวะของการหยุดอยู่ตรงกลางนี้ว่า เป็นประชาธิปไตยที่หยุดอยู่ใน
“พื้นที่สีเทา” (หรือที่เรียกว่า “transition in the gray zone”)
สภาวะของประชาธิปไตยในพื้นที่สีเทาดังกล่าวก่อให้เกิดการปกครองรูปแบบใหม่
ที่ถูกเรียกด้วยภาษาทางทฤษฎีในวิชา “เปลี่ยนผ่านวิทยา” (Transitology) ว่าเป็นการเมือง
ในแบบ “ระบอบไฮบริด” (Hybrid Regimes) หรือหมายถึงการกำเนิดของ “ระบอบพันทาง”
อันอาจเรียกได้ว่าเป็น “ระบอบครึ่ง ๆ กลาง ๆ”
คำถามสำคัญในสภาวะของการเมืองที่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยหยุดลงกลางทางนี้
คือ จุดที่หยุดลงนั้น เป็นจุดที่ค่อนไปสู่ความเป็นเสรีนิยม หรือเป็นจุดที่ค่อนไปสู่อำนาจนิยม
ถ้าหากจุดที่หยุดนั้นค่อนไปทางที่เป็นประชาธิปไตย ก็จะเกิดสภาวะของ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ”
(half democracy) หรือที่เรียกในทางทฤษฎีว่า “ระบอบกึ่งประชาธิปไตย” (semi-democratic
regime) ซึ่งเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราคุ้นเคยในการเมืองไทยในยุคของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
แต่ถ้าหากจุดที่หยุดลงนั้นค่อนไปทางอำนาจนิยม ก็จะเกิดสภาวะของความเป็นเผด็จการ
แบบครึ่งใบ หรือที่เรียกว่า “ระบอบกึ่งอำนาจนิยม” (semi-authoritarian regime) เหมือนอย่าง
ที่เราเห็นในการเมืองรัสเซียปัจจุบัน
ปรากฎการณ์ดังกล่าวท้าทายทางความคิดอย่างมากว่า ในกรณีที่การเปลี่ยนผ่านทาง
การเมืองหยุดลงตรงพื้นที่สีเทา และเกิดระบอบการเมืองในรูปแบบใหม่ขึ้น ระบอบใหม่เช่นนี้
จึงแตกต่างจากระบอบอำนาจนิยมแบบเดิมอย่างมาก ดังตัวแบบจากระบอบการเมืองของรัสเซีย
ตุรกี กัมพูชา หรือเมียนมาก่อนการรัฐประหารปัจจุบัน เป็นต้น ปรากฎการณ์เช่นนี้ทำให้เกิด
คำตอบในทางทฤษฎีอย่างชัดเจนว่า ระบอบพันทางคือ รูปแบบใหม่ของ “ระบอบเผด็จการ
ในศตวรรษที่ 21” และไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบเผด็จการทหารในแบบเก่า
การกำเนิดขึ้นของระบอบพันทางนี้ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะในชุดวิธีคิด
เดิมนั้น การเมืองจะถูกแบ่งออกเป็นเพียงสองฝั่ง ที่เป็นดัง “ขาวกับดำ” คือ ฝั่งที่เป็น
ประชาธิปไตย และฝั่งที่เป็นเผด็จการ แต่เมื่อเกิดการปกครองในระบอบพันทางขึ้น เรากลับ การแสดงปาฐกถานำ
ได้เห็นสภาวะการเมืองแบบใหม่ที่เกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปแล้ว แต่กลับหยุดอยู่ตรงกลาง
และไม่เดินต่อจนทำให้เกิดการปกครองขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง ในสภาวะเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่า
ความฝันที่เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยจะกลายเป็นกระแสของโลก และเป็น
“กระแสหลัก” ประการเดียวนั้น ถูกท้าทายจากรูปธรรมที่ทำให้เห็นได้ว่า การเปลี่ยนผ่านสู่
ประชาธิปไตยที่ก่อให้เกิดระบบการเมืองของประเทศที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยใหม่”