Page 181 - kpiebook65043
P. 181
สรุปการประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 23 1 1
ประชาธิปไตยในภูมิทัศน์ใหม่
ของสถาบันทางการเมืองจึงเปลี่ยนแปลงไป จนอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้ “ไม่มีความชอบธรรม
ไหนที่จะหยุดนิ่งตายตัว หรือถูกเขียนได้ด้วยลายลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ (ความชอบธรรม) เกิดขึ้นจากการที่เราถกเถียง ปะทะสังสรรค์...แล้วก็ให้เกิดการตั้งคำถาม
กับความชอบธรรม ท้ายที่สุด สถาบันทางการเมืองเหล่านั้นก็จะถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบ
ธรรมของตัวเองและเกิดการปรับตัว จนเกิดการปรับตัวโดยสถาบันทางการเมืองเหล่านั้นฟัง
เสียงของ (ประชาชน) และมาตั้งคำถามกับความชอบธรรมในการทำงานของตนเอง”
6
แล้วจะหาทางออกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้สถาบันทางการเมือง
ภายใต้ภาวะความผันผวนนี้อย่างไร ?
เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้วว่านิยามของ “ความชอบธรรม” ของสถาบันทางการเมือง
อาจจะต้องเปลี่ยนไป คำถามสำคัญที่จะต้องพิจารณาต่อก็คือในภาวะความผันผวนนี้
จะมีกระบวนการใดบ้างเพื่อหาทางออกจากความผันผวนนี้ที่มีความเห็นต่างเต็มไปหมดและ
นำไปสู่เป้าหมายในการกำหนดความชอบธรรมของสถาบันทางการเมืองใหม่ ก่อนอื่น วรรณภา
ติระสังขะ ได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า ความชอบธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อให้รัฐได้ใช้อำนาจ
รัฐในการปกครอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของความชอบธรรมคือจะต้องเป็นความชอบธรรมที่มี
เหตุผล มีตรรกะ และมีความสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนหลักการนั้น โดยจะต้องเป็นสิ่งที่คน
ในสังคมเลือกด้วย กล่าวคือ จะต้องเป็นความชอบธรรมที่คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันว่ามีอยู่
หรือต่อให้ไม่เห็นเหมือนกัน ก็ต้องนำไปสู่กระบวนการที่หาฉันทามติให้ได้ และสถาบันทางการเมือง
ก็อยู่ได้ด้วยการใช้อำนาจให้สมเหตุสมผล ดังนั้น การค้นหาความชอบธรรมจะต้องดึงทุกฝ่าย
ทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการหรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องให้ประชาชนทุกภาคส่วน
มีส่วนในการร่วมกำหนดนโยบายภาครัฐ และสร้างกระบวนการที่เรียกว่า “multi stakeholder
governance” ขึ้นให้ได้ เพื่อให้เกิดการใช้อำนาจรัฐที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม
นอกจากนี้ คำนูณ สิทธิสมาน ได้ให้หลักสำคัญคือ ไม่ว่าจะแก้ปัญหาด้วยกระบวนการ
ใดนั้น จะต้อง “ไม่เหมา ไม่บีบ ไม่ไล่” โดย “ไม่เหมา” หมายถึง จะต้องปฏิเสธแนวทางสุดขั้ว
จากทั้งสองฝ่าย เพราะในความสุดขั้วของทั้งสองฝ่ายนั้น ยังมีบางคนที่ “อยู่ตรงกลาง” หรือก็คือ
ไม่ได้เห็นด้วยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งหมด แต่ถูกตีตราหรือจัดให้อยู่ในขั้วใดขั้วหนึ่ง
จึงต้องเริ่มจากการเลิกเหมารวมหรือตีตราว่าใครเป็นฝ่ายใครเสียก่อน ส่วน “ไม่บีบ” หมายถึง
เราจะต้องปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ และต้องรับฟัง อย่าทำอะไรที่บีบให้ฝ่ายที่เห็นต่างไม่มี
ทางออกอะไรเลยจนเหลือแค่เพียงต้องใช้ความรุนแรง และ “ไม่ไล่” หมายถึง ขอให้ทุกฝ่าย
มีเมตตาต่อกัน อย่ามีพฤติกรรมที่เรียกว่าไม่พอใจอะไร หรือไม่เห็นด้วยกับอะไรก็ด่าไว้ก่อน
อย่าแสดงออกในลักษณะที่ว่าคนที่คิดต่างไม่สมควรอยู่ หรือคิดต่างแล้วก็ควรออกจากตำแหน่งไป
เป็นต้น สรุปการประชุมกลุ่มย่อยที่ 2
6 ความในวงเล็บเติมโดยผู้เรียบเรียง