Page 78 - kpiebook65024
P. 78
77
วางหลักการในมาตรา 16 ให้เป็นดุลพินิจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง
หรือหลายคนเป็นคณะให้เป็นผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้มีข้อสังเกต
อีกด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติของมาตรา 16 เกิดขึ้นหลังจากที่ร่างรัฐธรรมนูญ
ผ่านการท�าประชามติแล้ว
เราอาจสังเกตได้ว่าข้อแตกต่างของการใช้พระราชอ�านาจแต่งตั้งผู้ส�าเร็จราชการ
แทนพระองค์นั้นมี 2 ประเด็นใหญ่ กล่าวคือ ประเด็นแรกเป็นเรื่องของการแต่งตั้ง
ผู้ส�าเร็จราชการคนหนึ่งหรือคณะหนึ่ง จากที่รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับก่อนหน้านั้น
ก�าหนดให้ผู้ส�าเร็จราชการต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ประเด็นที่สองเป็นเรื่องการใช้
พระบรมราชวินิจฉัยในการแต่งตั้งผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้
ในประเด็นของการแต่งตั้งผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ในลักษณะของ
คณะบุคคลนั้นไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากเคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475
และ พ.ศ. 2489 มาแล้ว (ไชยันต์ ไชยพร, 2565) แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้ก�าหนด
รายละเอียดในกรณีการแต่งตั้งผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์เป็นองค์คณะเอาไว้ ท�าให้
มีข้อน่าห่วงใยว่าหากพระมหากษัตริย์แต่งตั้งคณะผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ไว้เป็น
จ�านวนคู่ แล้วคณะผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์มีความเห็นแตกต่างกันจนไม่อาจหา
ข้อสรุปได้เช่นนี้แล้วจะด�าเนินการอย่างไร เพราะในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้
มาแล้ว คือกรณีการลงนามร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งในเวลานั้น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร
ณ สงขลา) เป็นคณะผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ผู้ที่ลงนามในร่างรัฐธรรมนูญ
ฉบับชั่วคราวมีเพียงพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทรเพียงพระองค์เดียว
เท่านั้น (อนุชา อชิรเสนา, 2561) ท�าให้เกิดประเด็นโต้แย้งกันมากในคราวนั้นว่า
การลงนามดังกล่าวมีผลทางกฎหมายอย่างไร หรือไม่ ดังนั้นแม้ว่าบทญญัติของรัฐธรรมนูญ