Page 29 - kpiebook63008
P. 29
29
ได้เช่นเดียวกันหากไม่สามารถปรับตัวได้ โดยผู้อุปถัมภ์ที่มีอำานาจเฉพาะด้าน ระบบราชการหรือองค์กรของรัฐ
เช่น ครู หรือเจ้าหน้าที่รัฐต่าง ๆ อาจเข้ามามีบทบาทแทน (Silverman, 1967; Powell, 1970 และ Pitt River,
บทที่ 3
1971 และ Boissavain, 1966 อ้างถึงใน ปรีชา คุวินทร์พันธ์, 2554, หน้า 239)
สำาหรับระบบการเลือกตั้งในการเมืองไทย ระบบอุปถัมภ์ (patronage system) เป็นปัจจัยสำาคัญที่มี
อิทธิพลต่อการตัดสินใจในทางการเมืองของประชาชน มีลักษณะเป็นเครือข่ายโยงใยลึกซึ้งในสังคม นอกจากนี้
กรอบแนวคิดในกำรพัฒนำ
ปัจจัยทางวัฒนธรรมการเมืองในอดีตยังคงมีบทบาทหรืออิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองไทยในปัจจุบันด้วย
เช่นกัน (ณัฐพงศ์ บุญเหลือ, 2556, หน้า 23-29; 2560, หน้า 31-32; กฤษณา ไวสำารวจ, 2555, หน้า 21 – 29)
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมทางการเมือง ความคิดทางการเมือง ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองของประชาชน
ตัวชี้วัดประชำธิปไตย
ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเป็นลำาดับ ดังจะพบว่าจุดมุ่งหมายหลักของประชาชนในทางการเมือง
คือการเจรจาต่อรอง (negotiate) กับนักการเมืองหรือรัฐบาลโดยเกี่ยวข้องกับการอนุญาต เช่นการสัมปทาน
และเกณฑ์กำรค�ำนวณ
การประกอบการทุกประเภทรวมถึงการทำาอาชีพเกษตรกรรม การห้าม เช่น กฎหมายหรือการถูกห้ามปราม
จากเจ้าหน้าที่รัฐทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการให้ เช่น การจัดสรรงบประมาณ
คะแนน
การจัดให้อยู่ในข้อเว้น เช่น เศรษฐกิจพิเศษ หมู่บ้านป่าของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (นิธิ เอียวศรีวงษ์, 2560)
สำาหรับแนวคิดกลุ่มเครือข่าย (social network) ในมิติทางการเมืองนับว่ามีความสำาคัญที่จะทำาให้
สามารถนำาไปใช้อธิบายพฤติกรรมทางการเมือง ปราฏการณ์ทางการเมือง และการตัดสินใจทางการเมือง
ในการเลือกตั้งได้เช่นเดียวกัน โดยกลุ่มเครือข่ายทางการเมืองมีผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนในสังคม
หลากหลายรูปแบบ ปัจจุบันกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้รับการอธิบายถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง
รูปแบบใหม่ (new social movement) ของคนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม
มีพลังในการต่อต้าน คัดค้านและผลักดันทำาให้รัฐและองค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับศูนย์กลางอำานาจและ
ระดับย่อยปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรแบบราชการที่ยึดติดกับกฎระเบียบและกฎเกณฑ์
จนนำาไปสู่การไร้ซึ่งประสิทธิภาพหรือประสิทธิพลในการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบที่พึงมีต่อประชาชน
ส่วนใหญ่ในระดับฐานรากของสังคม (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2545) ในการทำาความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่ม
เครือข่ายทางการเมืองนั้นมักเชื่อมโยงกับการอธิบายถึง “ขบวนการทางสังคม” (social movements) ใช้
อธิบายถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มคนจำานวนมากที่รวมตัวกันในลักษณะกระทำาการรวมหมู่ มีความเข้าใจร่วมกันว่า
มีผลประโยชน์ร่วมกัน มีตัวตนหรืออัตลักษณ์ (identity) เดียวกัน ลักษณะเด่นเฉพาะคือการใช้ หรือแสดงให้เห็นว่า
จะทำาการระดมมวลชน (mass mobilization) เป็นเครื่องมือสร้างอำานาจกดดันสังคม ประเด็นดังกล่าวนี้
แตกต่างจากการรวมหมู่ (collectivities) อื่น อาทิ สมาคม หรืออาสาสมัคร (voluntary associations) ซึ่งกลุ่มเหล่านี้
มีเป้าหมายหลักเพื่อปกป้องหรือเปลี่ยนแปลงสังคม คำาว่าขบวนการทางสังคมดังกล่าวนี้ถูกนำามาใช้ครั้งแรกโดย
Saint-Simon เพื่ออธิบายกลุ่มขบวนการประท้วงทางการเมืองและสังคมในฝรั่งเศสและยุโรป พัฒนาต่อมา
3
ถูกนำามาใช้อธิบายพลังทางการเมืองที่ต่อต้าน/คัดค้าน/ไม่เห็นด้วยกับสภาพสังคมที่ดำาเนินอยู่ โดยเฉพาะขบวนการ
แรงงานในศตวรรษที่ 19 ในกลุ่มขบวนการชนชั้นกรรมาชีพต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม
3 นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสใช้คำาดังกล่าวนี้ช่วงปลายศตวรรษที่ 18