Page 28 - kpiebook63008
P. 28

28       การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง
                    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี







             “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ทั้งนี้เป็นผลจากอิทธิพลที่เป็นมรดกจากบริบทของสังคมไทย (patrimonial political)

              เช่น ระบบศักดินา (feudal) การรวมศูนย์อำานาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในอดีต ระบบเครือญาติและ
             วงศ์ตระกูล (kinship and descent)  ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสถาบันทางสังคม (social institution)


                      ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ (patronage-client relations) ประกอบด้วย 2 ส่วนสำาคัญคือ ผู้อุปถัมภ์

             (patron) กับผู้รับอุปถัมภ์ (client) โดยฝ่ายแรกเป็นบุคคลที่มีอำานาจและฉันทานุมัติ ส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อนายจ้าง
             หรือผู้สนับสนุน/ช่วยเหลือเสมือนผู้อุปการะ นักบุญอุปถัมภ์ หรือเจ้าพ่อที่มีลูกน้องหลายคนผ่านจัดกิจกรรมหรือ
             พิธีกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ฝ่ายหลังต้องการความช่วยเหลือรวมถึงกการปกป้องและคุ้มครอง มีความต้องการ

             อย่างมากในการความคาดหวังต่อประโยชน์หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับจากผู้อุปถัมภ์ ในอดีตนั้นปรากฏใน

             สังคมศักดินา (feudal) และต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของบริบททางสังคม ความสัมพันธ์มีลักษณะเป็นต่างตอบแทน
             (reciprocal relationships) มีทั้งสัญญาที่เป็นทางการ ด้วยการกำาหนดความผูกพันสองฝ่ายชัดเจน หรืออาจ
             ไม่เป็นทางการ ฝ่ายผู้รับการอุปถัมภ์มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้อ่อนแอกว่าในทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง

             และผู้อุปถัมภ์พึ่งพาผู้รับการอุปถัมภ์ในบางสถานการณ์ เช่น การเลือกตั้งหรือกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม

             ทั้งนี้ระบบอุปถัมภ์นั้นมีหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบบิดาอุปถัมภ์  และรูปแบบการใช้อำานาจกดขี่ รูปแบบแรกนั้นมี
                                                                2
             ลักษณะบารมีและมิได้ใช้กำาลังบังคับหรือข่มขู่ให้ต้องวาดกลัวในอำานาจและอิทธิพลที่มี ในขณะที่รูปแบบที่สองนั้น
             เป็นการใช้การบังคับซึ่งเกี่ยวข้องกับอิทธิพลที่ทำาให้เกิดความเกรงกลัวยินยอมอยู่ใต้อำานาจ อย่างไรก็ตาม

             ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้รับการอุปถัมภ์มีรูปแบบที่ยากต่อการจัดประเภท (Foster, 1963 และ Mair,

             1961 อ้างถึงใน ปรีชา คุวินทร์พันธ์, 2554, หน้า 234-238)


                      ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ปรากฏชัดในสังคมชาวนา ระหว่างเจ้าของ
             ที่ดิน (นา) กับตัวชาวนา นำามาสู่การจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ภายใต้ระบบ
             “การเช่าที่นา” และวิถีการผลิตการเกษตร มีผลต่อเจ้าของที่ดินในการใช้แรงงานราคาถูกและการแสวงหา

             ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมายาวนานแม้แต่ประเทศอาณานิคมที่มีสเปนและโปรตุเกสเป็น

             ผู้ปกครอง ระบบดังกล่าวนี้ได้พัฒนาและผันแปรมาเป็นระบบทุนนิยมภายใต้ระบบการค้าโลกในยุคปัจจุบัน
             (Bloch, 1961 และ Stavenhagan, 1963 อ้างถึงใน ปรีชา คุวินทร์พันธ์, 2554, หน้า 234-238) สำาหรับสังคม
             กำาลังพัฒนาบทบาทของผู้อุปถัมภ์ตามประเพณีต่อสังคมนั้นมีค่อยข้างมากและปรากฏให้เห็นชัด มีลักษณะที่

             เชื่อมโยงสถานภาพทางสังคมของคนจากระดับตำ่าไปถึงระดับชาติโดยไม่จำาเป็นต้องผูกติดกับระบบราชการที่มี

             ระเบียบมากมาย และแม้ว่าจะมีความพยายามในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมอุตสาหกรรม ผู้อุปถัมภ์
             ยังคงมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือหรือแนะนำา (เมื่อถูกร้องขอ) เพื่อติดต่อกับหน่วยงานราชการ ผู้อุปถัมภ์
             ตามประเพณี (ในฐานะเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่ง) อาจมีอำานาจมากกว่า/ ในระดับเดียวหรืออย่างน้อยที่สุดก็ใกลเคียง

             กับเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไรก็ตาม ตัวผู้อุปถัมภ์ตามประเพณีนั้นมิได้มีลักษณะที่หยุดนิ่งตายตัวอาจมีการเปลี่ยนแปลง


             2   ในอดีตระบบแบบปิดมีลักษณะเป็นแบบบิดาอุปถัมภ์ โปรตุเกสนำาระบบดังกล่าวนี้เข้าปกครองในบราซิลตะวันออกเฉียงใต้
             มีการใช้อำานาจกดขี่ในบางครั้ง ทำาหน้าที่คล้ายครอบครัวขยาย ประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัวรับผิดชอบสวัสดิการผู้ใต้อำานาจ
             ครอบครัวทาสและแรงงานอิสระ ขณะที่รัฐศูนย์กลางอำานาจไม่เข้มแข็งพอ ทำาให้ชุมชน (หมู่บ้าน) มีความเป็นอยู่แบบโดดเดี่ยว
             ระบบอุปถัมภ์จึงเป็นทางเลือกที่ยากปฏิเสธของชาวไร่ชาวนา: ดูเพิ่มเติมใน ปรีชา คุวินทร์พันธุ์, 2554, หน้า 237)
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33