Page 38 - b29256_Fulltext
P. 38

ได้แสดงความเห็นถึงจำนวนแพทย์ของสยามที่มีน้อย เป็นสัดส่วนที่ไม่เพียงพอกับประชากร และการขาดแคลนแพทย์ใน

                                                                                         83
            ชนบท ซึ่งหลวงทรงบุญยแพทย์ก็ยอมรับว่าเรื่องแพทย์ไม่พอกับพลเมืองนี้เป็นปัญหาสำคัญมาก
                   อันแสดงให้เห็นว่าก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การแพทย์สมัยใหม่ ทั้งในแง่ของการ

            ให้บริการแก่ประชาชน ด้านการรักษาโรค และบริการอื่นๆ ทางการแพทย์นั้นมีอยู่อย่างจำกัดมาก และก่อน

            เปลี่ยนแปลงการปกครอง โรงพยาบาลของรัฐมีอยู่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น พระบำราศนราดูรให้ข้อมูลว่า ในหัวเมือง
            นั้นการตั้งโรงพยาบาลมีขึ้นเพราะปัญหาทางการเมืองเป็นหลัก ซึ่งมีโรงพยาบาลของรัฐอยู่แห่งเดียวคือที่จังหวัดระนอง

            อันเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมืองที่ไม่อยากให้คนไทยข้ามไปรักษาที่โรงพยาบาลของอังกฤษที่เกาะสอง (วิคตอเรีย
            ปอยนต์) และโรงพยาบาลปัตตานีที่รัฐบาลกลางจากกรุงเทพฯ ให้สร้างขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ “พระยาแขกเจ็ดหัว

                                                      84
            เมืองคบคิดกบถ” หรือ ”กบถเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง”  ในปี พ.ศ. 2444 สงบลง แต่ไม่ได้มีการดำเนินการต่อเพราะขาด
            งบประมาณ นอกจากนั้นก็มีโรงพยาบาลของท้องถิ่นใน 7 จังหวัด คือ อยุธยา นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต
            สุพรรณบุรี และนครสวรรค์ แต่ก็ประสบกับปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ เงิน และอุปกรณ์ต่างๆ จนต้องล้มลุกคลุกคลาน

                   85
            มาตลอด  และแม้ในเมืองเหล่านั้นจะมีโรงพยาบาลตั้งอยู่ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าการแพทย์สมัยใหม่จะเป็นที่ยอมรับของ
            ชาวบ้านทั่วไป

                   ดังเห็นได้จากรายงานของซิมเมอร์แมนที่แสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านยังนิยมการรักษาแบบแผนโบราณอยู่มาก

            และในค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็เป็นค่ารักษาแผนโบราณเสียอีก  ในส่วนของคนที่มารับบริการก็มีน้อย
                                                                            86
            เพราะชาวบ้านยังไม่แน่ใจกับการรักษาแผนใหม่ยกเว้นเฉพาะคนชั้นนำและคนที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่เท่านั้น และ

            หากดูจากสถิติของคนไข้ที่มารักษาในโรงพยาบาลของกรมการแพทย์ ปรากฏว่าตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงสาธารณสุขขึ้นในปี

            พ.ศ. 2485 ปรากฏว่ามีโรงพยาบาลในสังกัดทั้งโรงพยาบาลรักษาโรคทั่วไปและรักษาโรคเฉพาะทั่วประเทศทั้งหมด 34
            โรง เพราะได้รวมเอาโรงพยาบาลของมิชชันนารีเข้ามาด้วยหลังสงครามอินโดจีน และการเป็นพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่น

            ทำให้โรงพยาบาลมิชชันนารีของชาติพันธมิตรคืออังกฤษและอเมริกาต้องกลายเป็นทรัพย์สินของชาติศัตรูด้วยนั้น มีคน
            ป่วยเข้ารับการรักษาทั้งสิ้นจำนวน 118,244 คน (จากประชากรประมาณ 18 ล้านคน) และคงที่ประมาณแสนเศษจน

            ตลอดสงคราม และเพิ่มมากขึ้นพร้อมกับการเพิ่มจำนวนของโรงพยาบาลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งอาจพูดได้ว่า
                                                                                              87
            อำนาจของรัฐในการสอดส่องดูแลสุขภาพประชาชนยังไม่แผ่ซ่านไปทุกอณูของสังคม เนื่องจากว่าวาทกรรมทาง
            การแพทย์สมัยใหม่ยังไม่ได้ถูกสถาปนาขึ้นอย่างเต็มที่โดยรัฐ



                   83  ดูรายละเอียดใน “ข้อที่คณะแพทย์แห่งสยามควรพิจารณา,” จดหมายเหตุทางแพทย์ 14, 3 (ตุลาคม 2474): 379-392.
                   84  ดูรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ได้ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, “กรณีเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง: การเริ่มต้น “ความจริง” เกี่ยวกับ
            ปัตตานีด้วยประวัติศาสตร์แห่งการลวง,” ศิลปวัฒนธรรม  25, 8 (มิถุนายน 2547): 98-105.

                   85  พระบำราศนราดูร, “ประวัติกระทรวงสาธารณสุข,” ใน  อนุสรณ์กระทรวงสาธารณสุข 15 ปี พ.ศ. 2485-2500 (พระนคร:
            กระทรวงสาธารณสุข, 2500), หน้า 40-41.

                   86  คาร์ล ซี. ซิมเมอร์แมน, การสำรวจเศรษฐกิจในชนบทแห่งสยาม, แปลโดย ซิม วีระไวทยะ, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรา
            มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 2525), หน้า 136.
                   87 ดูรายละเอียดใน “ประวัติและผลงานของกรมการแพทย์,” ใน อนุสรณ์กระทรวงสาธารณสุขครบ 15 ปี พ.ศ. 2485-2500,

            105-152.
                                                            37
   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43