Page 42 - b29256_Fulltext
P. 42
บทที่ 3
นโยบายการแพทย์และการสาธารณสุขไทยผลจาก
“ตัวตนสยามใหม่” ในความสัมพันธ์กับนานาชาติ
และองค์กรระหว่างประเทศช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1-2
การจะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนโยบายการแพทย์และการสาธารณสุขในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2468-2477 (ค.ศ. 1925-1934) นั้น ขาดเสียไม่ได้ที่จะต้องให้ความสำคัญในบริบทการ
เปลี่ยนแปลงการเมืองระหว่างประเทศระหว่างสงครามใหญ่สองครั้ง นั่นคือเน้นประเด็นสำคัญที่การศึกษาเกี่ยวกับ
นโยบายสาธารณสุขที่เป็นผลมาจากองค์การระหว่างเทศจัดตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nation, 2463-2489/1920-
1946) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2463 (ค.ศ.1920) จนกระทั่งยุบเลิก 20 เมษายน 2489 (
ค.ศ. 1946) สยามเป็นรัฐสมาชิกแรกเริ่มในจำนวน 50 รัฐ มีสถานะเท่าเทียมกันและยอมรับในเอกราช
ในเวลาต่อมามีการตั้งองค์กรสุขภาพ (Health Organization) ขึ้นในสันนิบาตชาติเพื่อสร้างความร่วมมือ
นานาชาติด้านสาธารณสุขและการแพทย์ มีความตกลงที่รัฐสยามต้องลงสัตยาบันแล้วมาอนุวรรตให้กฎหมายในประเทศ
เป็นไปตามข้อตกลง มีความช่วยเหลือและร่วมมือรวมทั้งองค์ความรู้จากนานาชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการ
สาธารณสุขที่สำคัญ โรคเรื้อน มาลาเรีย อหิวาตกโรค และยาเสพติด เช่น การสำรวจยุงในปี 2473 โดยนายแพทย์
อานิกสไตน์สมาชิกคณะกรรมาธิการไข้จับสั่นของสันนิบาตชาติ กล่าวได้ว่าในกระบวนการจัดระเบียบโลกใหม่
ขบวนการชาตินิยมและการตั้งองค์กรระหว่างประเทศ สันนิบาตชาติทำให้สยามรัฐเล็กมีตัวตนขึ้นมาเท่าเทียมและ
ยอมรับจากชาติมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม การแพทย์และการสาธารณสุขร่วมมือกันเพื่อควบคุมจัดการโรคระบาดของ
โลก
97
ผลของการเข้าร่วมมือกับองค์การนานาชาติและความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่สำคัญนั้น ทำให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงสำคัญของการแพทย์และสาธารณสุขของไทยดังต่อไปนี้
3.1 การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติของสมาคมเวชศาสตร์เขตร้อนในตะวันออกไกล
บทบาทและความสำคัญของสยามในฐานะสมาชิกองค์การสุขภาพระหว่างประเทศในสันนิบาตชาติปรากฏ
ชัดเจนอย่างยิ่ง เมื่อในปี พ.ศ. 2473 สยามได้ถูกเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติของสมาคมเวชศาสตร์เขตร้อน
ในตะวันออกไกล (Far Eastern Association of Tropical Medicine) เป็นสาขาหนึ่งขององค์กรสุขภาพระหว่างประเทศที่
97 ธีระ นุชเปี่ยม, ตัวตนใหม่ของสยามในโลกา: การต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี,
2559), หน้า 84-95.
41