Page 14 - b29256_Fulltext
P. 14

ทางการแพทย์ของรัฐที่นำมาเป็นเครื่องมือในการปกครองของรัฐได้ด้วย อันนับได้ว่าเป็นการมองอำนาจรัฐที่ต่างออกไป

            จากที่เคยได้มีการศึกษากันมาในประเด็นนี้ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงกระบวนการที่รัฐใช้ในการจัดการให้ประชาชนหันมา

            ยอมรับเอาความคิดทางการแพทย์สมัยใหม่แทนการแพทย์แผนโบราณนั้น เป็นกระบวนการที่เรียกว่า “การจัดการทาง

            ร่างกาย” ให้พลเมืองหันมายอมรับเอาแนวคิดของการแพทย์สมัยใหม่ที่มาในรูปของความรู้เกี่ยวกับร่างกายใน
            ความหมายใหม่ ที่เป็นแนวคิดทางการแพทย์ที่รัฐได้ปลูกฝังให้ประชาชนรับรู้ผ่านการประชาสัมพันธ์ของกลไกรัฐและ

            ผ่านการเรียนรู้ในสถาบันทางการแพทย์คือโรงพยาบาลของรัฐและทำให้อำนาจการแพทย์มีอำนาจเหนือประชาชนใน

            ที่สุด งานชิ้นนี้ได้ให้ภาพสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นความต่อเนื่องของความทันสมัยที่มีมาก่อนหน้านั้นและเน้นไปที่รัฐไทยที่มี

            อำนาจในการดำเนินนโยบายเป็นหลักกว่าการพิจารณาในระดับนานาชาติ


                   งานศึกษาประวัติศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุขที่มองผ่านโรคระบาดของ ชาติชาย มุกสง นัก

            ประวัติศาสตร์การแพทย์ที่ได้ทำงานวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้พยายามเสนอให้เห็นถึงความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของ
            คนไทยในทศวรรษ 2420 ราวต้นรัชกาลที่ 5 ที่ต้องเผชิญกับอหิวาตกโรคว่ามีความรู้สึกกลัวและหาทางจัดการกับความ

            กลัวอย่างไร จนกระทั่งรัฐต้องเข้ามาควบคุมจัดการโรคและความกลัวด้วยการแพทย์สมัยใหม่ จนนำมาสู่การตั้ง

            โรงพยาบาลรัฐแห่งแรกคือโรงศิริราชพยาบาลขึ้นในที่สุด อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการหันมาใช้การแพทย์และ

                                                              13
            สาธารณสุขแนวตะวันตกในการจัดการโรคระบาดอย่างชัดเจน

                   ในขณะที่การวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของโรคระบาดในสังคมไทย โดยใช้แนววิเคราะห์
            ประวัติวัฒนธรรมความกลัวโรคระบาดอหิวาตกโรคที่เสนอให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และสัมพันธ์กับ

            คำอธิบายความหมายของโรคที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน จากสมัยโบราณที่อธิบายว่าเกิดจากภูติผีปีศาจจึงต้องหาวิธีไล่ผี

            แก้กลัวให้หายจากโรค และเมื่อสังคมไทยเริ่มรับการแพทย์แผนตะวันตกผ่านมิชชันนารีอเมริกันในกลางคริสต์ศตวรรษที่

            19 ก็รับเอาความคิดว่าด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมที่สกปรกอากาศเสียหรือทฤษฎีอายพิศม์ (miasma) จนนำมาสู่การจัดการ

            สุขาภิบาลให้เมืองสะอาดเพื่อควบคุมแก้ไขอหิวาตกโรคในเมืองที่เกิดใหม่อย่างกรุงเทพฯ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการอธิบาย

            ด้วยทฤษีเชื้อโรคที่มีแมลงวันเป็นพาหะในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงนำไปสู่การป้องกันและควบคุมด้วยการทำลายเชื้อ
            โรคและป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมาเข้าสู่ร่างกาย และกำจัดแมลงวันพาหะที่แสดงให้เห็นถึงการการเปลี่ยนแปลงถึง

            วิธีการรับมือและผลกระทบต่อผู้คนในสังคมในการคิดและปฏิบัติต่อโรคนี้ในแต่ละช่วงเวลาได้
                                                                                       14

                   งานศึกษาวิจัยโรคระบาดในเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมได้รับความสนใจทำการวิจัยโรคสำคัญที่เคย

            ระบาดในสังคมไทยในอดีต ด้วยการค้นหาพัฒนาการของโรคเก่าแก่และระบาดในวงกว้างเป็นโรคประจำถิ่นของเอเชีย


                   13  Chatichai Muksong, “In the Time of Facing and Fear: The Case of Cholera Breakout in the Siam in the
            1880s,” pp. pp. 985-994, in Proceedings of 2016 International Symposium on Economics and Social Science –

            Summer Session (Kyoto: Japan, 12-14 July 2016).
                   14  กรุณาดูรายละเอียดใน ชาติชาย มุกสง, จากปีศาจสู่เชื้อโรค: ประวัติศาสตร์การแพทย์กับโรคระบาดในสังคมไทย (กรุงเทพฯ:
            ศิลปวัฒนธรรม, 2563).

                                                            13
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19