Page 9 - b29256_Fulltext
P. 9
ภูมิภาค โดยต้องย้อนไปอธิบายถึงนโยบายรัฐไทยด้านสาธารณสุขหลังจากตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นสังกัดมหาดไทย
รับผิดชอบดูแลสุขภาพพลเมืองหัวเมืองในปี 2461 จนกระทั่งเกิดการรวมเอากิจการสุขภาพพลเมืองในส่วนเมืองหลวง
คือกรมสุขาภิบาล กระทรวงนครบาลและส่วนภูมิภาคมาไว้ด้วยกันในกรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ
ด้านการสาธารณสุขทั่วประเทศในปี 2468 ทำให้เกิดนโยบายขยายตัวของโรงพยาบาลไปหัวเมือง โดยให้ชาวบ้านใน
ท้องถิ่นมีส่วนร่วมด้วยการเรี่ยไรเงินมาสร้างโรงพยาบาลประจำเมือง เริ่มตั้งแต่ขอนแก่น ในปลายรัชกาลที่ 6 ต่อมาในปี
เริ่มต้นรัชกาลที่ 7 ได้ตั้งขึ้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ในปี 2469 สร้างขึ้นที่ปัตตานี และสุพรรณบุรี ปี 2471 สร้างที่จังหวัดสุ
ราษฎร์ธานี ปี 2472 สร้างที่ปทุมธานีและปรับปรุงโรงพยาบาลกลางขึ้นด้วย ปี 2473 จังหวัดสระบุรีและบุรีรัมย์
5
จนกระทั่งปี 2474 ตั้งโรงพยาบาลกระบี่และอ่างทอง แต่ในช่วงทศวรรษ 2470 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นรัฐบาลขาด
แคลนงบประมาณ ไม่มีงบจ้างหมอ ซื้อยาตามหัวเมือง ทำให้โรงพยาบาลร่วงโรยร้างคน สภาพหัวเมืองจากการสำรวจ
ของ คาร์ล ซี ซิมเมอร์แมนในปี 2473 พบว่ามีโรงพยาบาลของมิชชันนารีให้บริการการแพทย์สมัยใหม่ ส่วนโรงพยาบาล
ของรัฐที่ให้บริการมีไม่ทั่วถึงและให้บริการได้เฉพาะกับข้าราชการและนักโทษ ชาวบ้านเข้าถึงบริการน้อยและโดยส่วน
ใหญ่มักพึ่งการแพทย์แผนโบราณและการซื้อยารักษาดูแลสุขภาพกันเอง
แต่นโยบายสาธารณสุขหลังปฏิวัติ 2475 คณะราษฎรเสนอนโยบาย “รัฐเวชกรรม” ให้รัฐต้องดูแลสุขภาพ
ประชาชนให้เป็นพลเมืองที่แข็งแรงของรัฐ โดยกำหนดแผนงานนโยบายสร้างโรงพยาบาลครบทุกจังหวัดเริ่มตั้งแต่ปี
2477 และปีต่อมาเริ่มสร้างโรงพยาบาล “อวดธง” บริเวณชายแดนติดดินแดนอาณานิคม ฝรั่งเศสอย่างเชียงราย
หนองคาย และระนองของอังกฤษ ก่อนเป็นการชักจูงให้คนหันมาใช้โรงพยาบาลของรัฐไทยแทน จนกระทั่งปี 2497 จึง
6
มีโรงพยาบาลครบทุกจังหวัด ขณะเดียวกันได้เพิ่มสุขศาลาตามอำเภอและตำบลขึ้นปีละประมาณ 60-100 แห่ง
ประเด็นการศึกษาที่ต้องขยายและวิเคราะห์ลงลึกในภาพรวมของนโยบายก็คือ การเปลี่ยนผ่านนโยบายจาก
การแพทย์เชิงรักษาเป็นการแพทย์เชิงป้องกัน (from curative to preventive) นอกเหนือจากเหตุผลของสถานะ
ทางการคลังของสยามที่รายได้น้อย ไม่ทำงบขาดดุล ไม่มีเงินลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านสุขภาพ การใช้
แนวทางการแพทย์เชิงป้องกันสมเหตุสมผลและปฏิบัติได้จริง ราคาถูก ประสิทธิภาพสูง เพราะการป้องกันจะดีกว่าแก้
กลายเป็นนโยบายหลักมาจนปัจจุบัน ขณะเดียวกันหลังจากปราบปรามโรคระบาดร้ายแรงที่ทำให้คนตายคราวละมากๆ
ที่เรียกว่า ห่า มี 3 โรคหลักที่ร้ายแรงก่อนทศวรรษ 2460 คือ ทรพิษ อหิวาตกโรคและกาฬโรค จนสามารถควบคุมการ
ระบาดได้ดีในระดับหนึ่ง จึงเข้าสู่ยุคของการป้องกันส่งเสริมให้คนมีสุขภาพแข็งแรงและปราบปรามโรคระบาดต่างๆ ที่
คุกคามสุขภาพอย่างชัดเจนขึ้น ได้แก่ โรคมาลาเรีย พยาธิปากขอ โรคเรื้อน วัณโรค กามโรค นโยบายดังกล่าวเป็นการ
7
5 ประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขไทย (กรุงเทพฯ: แพทยสภา, 2563), หน้า 792-810.
6 ชาติชาย มุกสง, จากปีศาจสู่เชื้อโรค: ประวัติศาสตร์การแพทย์กับโรคระบาดในสังคมไทย (กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2563),
หน้า 197.
7 วีรวัลย์ งามสันติกุล, ประชาธิปกกาลสมัยในกระแสธารประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี, 2559),
หน้า 110-115.
8