Page 8 - b29256_Fulltext
P. 8

การเปลี่ยนผ่านนโยบายจากการแพทย์เชิงรักษาเป็นการแพทย์เชิงป้องกัน (from curative to preventive) ซึ่งบาง

            นโยบายจุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
                   ประเด็นสำคัญในบริบทแห่งรัชสมัย พ.ศ. 2468-2477 (ค.ศ. 1925-1934) นั้นจะต้องให้ความสำคัญใน

            การศึกษาเกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุขที่เป็นผลมาจากองค์การระหว่างเทศจัดตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nation,

            1920-1939) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 1920 (2363) สยามเป็นรัฐสมาชิกแรกเริ่มในจำนวน 50

            รัฐ มีสถานะเท่าเทียมกันและยอมรับในเอกราช ต่อมามีองค์กร Health Organization สร้างความร่วมมือนานาชาติ

            ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ มีความตกลงที่รัฐสยามต้องลงสัตยาบันแล้วมาอนุวรรตให้กฎหมายในประเทศเป็นตาม
            ข้อตกลง มีความช่วยเหลือและร่วมมือรวมทั้งองค์ความรู้จากนานาชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการสาธารณสุข

            ที่สำคัญ โรคเรื้อน มาลาเรีย อหิวาตกโรค และยาเสพติด เช่นการสำรวจยุง 2473 โดยนายแพทย์อานิกสไตน์สมาชิก

            คณะกรรมาธิการไข้จับสั่นของสันนิบาตชาติ กล่าวได้ว่าในกระบวนการจัดระเบียบโลกใหม่ ขบวนการชาตินิยมและการ

            ตั้งองค์กรระหว่างประเทศ สันนิบาตชาติทำให้สยามรัฐเล็กมีตัวตนขึ้นมาเท่าเทียมและยอมรับจากชาติมหาอำนาจเจ้า

                                                                                     2
            อาณานิคม การแพทย์และการสาธารณสุขร่วมมือกันเพื่อควบคุมจัดการโรคระบาดของโลก

                  นอกจากนี้ยังขยายไปยังนโยบายการสาธารณสุขด้านสังคมมากขึ้นด้วยความตกลงเรื่องฝิ่น กัญชา และสารเสพ
            ติด จากความตกลงนานาชาติและองค์การระหว่างประเทศ การให้สัตยาบันในที่ประชุมสันนิบาติชาติเรื่องควบคุมกำจัด

                                                                                              3
            ฝิ่นในปี 2467-2468 ทำให้สยามออกพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476  การเจรจาให้ฝิ่น
            เป็นสารเสพติดควบคุมในระดับนานาชาตินำมาสู่การกำหนดสารประเภทอื่นเป็นยาเสพติดด้วย เช่น กัญชา แฮสสิส ยา

            เข้าฝิ่นทั้งหลาย ไทยสงวนการให้สัตยาบันเป็นสารเสพติดในการประชุมนานาชาติเพราะคิดว่าประกาศเพิ่มเป็นสารเสพ

            ติดเป็นการภายในได้ โดยออกกฎเสนาบดีเรื่องกัญชาปี 2468 เป็นการออกกฎหมายควบคุมให้เป็นยาเสพติดอย่างค่อย
            เป็นค่อยไป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงรับรองหนังสือสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษที่ไทย

            ตกลงไว้ในปี 2468 กัญชากลายเป็นยาเสพติด แต่ยังไม่ออกกฎหมายมาบังคับ จนกระทั่งต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.

            2472  กัญชาจากยาสมุนไพรในตำรับยาไทยและสินค้าออกหลักแสนบาทสู่อาณานิคมอังกฤษ กลายเป็นสินค้าต้องห้าม

            ปลูกและครอบครอง ห้ามใช้สูบและเป็นยา กินใส่อาหาร เพราะอนุวรรตตามหลักการสากลเรื่องสารเสพติด ซึ่งต่อมาใน

            พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 ได้บัญญัติให้กัญชากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายตามความตกลงนานาชาติ


                   ประเด็นสำคัญที่ต้องศึกษาเช่นเดียวกันคือการเกิดนโยบาย “รัฐเวชกรรม”  ในปี 2477 หลังเปลี่ยนแปลงการ
                                                                                4
            ปกครอง 2475 โดยเฉพาะกับการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคด้านการแพทย์และการสาธารณสุขให้ขยายจากส่วนกลางสู่




                   2  ธีระ นุชเปี่ยม,  ตัวตนใหม่ของสยามในโลกา: การต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี,

            2559), หน้า 84-95.
                   3  เรื่องเดียวกัน, หน้า 84-90.
                   4  รายละเอียดแนวคิดนี้ดู ทวีศักดิ์ เผือกสม, เชื้อโรค ร่างกายและรัฐเวชกรรม:  ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย

            (กรุงเทพฯ:  สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550).
                                                            7
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13