Page 13 - b29256_Fulltext
P. 13
อ้างอิงกันอย่างกว้างขวางในการศึกษาประวัติศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข ประเด็นสำคัญของงานชิ้นนี้เน้นไปที่
การประเมินบทบาทและรูปแบบการจัดการของรัฐในด้านการจัดการระบบสุขภาพแก่ประชาชนในแต่ละสมัย แต่งานชิ้น
นี้ได้ไปไกลกว่าการศึกษาในเชิงปริมาณของการขยายตัวทางสถาบันและการบริการสาธารณสุข โดยได้สนใจวิเคราะห์ถึง
ปัญหาในเชิงคุณภาพของการให้บริการสาธารณสุขของรัฐด้วยว่า ในแต่ละช่วงการจัดการด้านการรักษาและการป้องกัน
ซึ่งเป็นปัญหามาตลอดในระบบสาธารณสุขไทยว่ารัฐได้จัดอย่างไร และก่อให้เกิดปัญหาที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรในระบบบริการสุขภาพ
นอกจากนี้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสุขภาพในมิติอื่น เช่นในงานสุขภาพจิตได้มีการเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมา
ยืนยันถึงความชอบธรรมที่ต้องขยายการบริการด้านสุขภาพจิตไปสู่ประชาชน โดยต้องการกระตุ้นรัฐให้สนใจงานด้านนี้
ให้มากขึ้น ดังในรายงานวิจัยของ กิติกร มีทรัพย์ เรื่อง ความเป็นมาของงานสุขภาพจิตในประเทศไทย (2529) ซึ่งได้
ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการของรัฐต่อปัญหาสุขภาพจิตโดยใช้ยุคสมัยทางการเมืองของอาณาจักรโบราณเป็นตัวแบ่งยุค
เหมือนการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่มักใช้โครงเรื่อง (plot) ในลักษณะเดียวกันนี้ กล่าวคือใช้โครง
เรื่องทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยเป็นหลักในการดำเนินเรื่องเล่า (Narrative) และพยายามหาหลักฐานที่คิดว่า
สอดคล้องกับงานด้านสุขภาพจิตมาบรรยายและวิเคราะห์ให้เห็น ซึ่งก็นับว่าเป็นปัญหาโดยรวมของการศึกษา
ประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกจำกัดด้วยเพดานความคิดจากประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นประวัติศาสตร์
แห่งชาติฉบับของทางราชการ ที่ครอบงำการศึกษาประวัติศาสตร์ด้านอื่นไปหมดไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์สังคม
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการแพทย์ก็ตามที่ไม่หลุดพ้นไปจากกรอบการศึกษาแบบเดิม
เหล่านี้
ในส่วนของนักประวัติศาสตร์ไทยที่สนใจเรื่องโรคระบาดและได้ศึกษาเป็นวิทยานิพนธ์ไว้คือ วิทยานิพนธ์ของวร
นารถ แก้วคีรี เรื่อง โรคระบาดในชุมชนภาคกลางของไทย พ.ศ. 2440-2475 : การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ (2534)
การศึกษาได้เน้นการวิเคราะห์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคระบาดทั้งสามที่ส่งผลต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง คือ กาฬ
โรค อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐและชนชั้นปกครองในการที่จะป้องกันและปราบปรามโรคเหล่านี้
ซึ่งรัฐก็ได้ทำหน้าที่นี้อย่างแข็งขันโดยใช้ความรู้ตะวันตกในการแก้ปัญหา แต่พร้อมๆ กับการป้องกันแก้ไขโรคระบาดนี้ก็
เป็นการขยายบทบาทของรัฐด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไปพร้อมกันด้วย
ในงานศึกษาเชิงประวัติศาสตร์แนววิเคราะห์วาทกรรมของทวีศักดิ์ เผือกสม แม้จะมีหน่วยของการศึกษา
12
วิเคราะห์อยู่ที่รัฐด้วยเช่นกัน ไม่ได้เป็นการประเมินบทบาทของรัฐในแง่บวก แต่เป็นการมองรัฐในฐานะตัวกระทำในการ
กำหนดระบบสาธารณสุขจากการใช้อำนาจผ่านความรู้สมัยใหม่ที่รัฐได้สถาปนาให้เกิดขึ้นในสังคม เช่นแนวคิดเรื่องเชื้อ
โรค ร่างกายที่เป็นฐานคิดและแนวปฏิบัติการของการแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย จึงเป็นการเปิดโปงให้เห็นวาทกรรม
12 ทวีศักดิ์ เผือกสม, เชื้อโรค ร่างกายและรัฐเวชกรรม: ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550).
12